ถั่วพูเป็นพืชที่ปลูกง่ายและเจริญเติบโตได้ดีในดินทุกชนิด ยกเว้นในดินที่มีน้ำขัง ขึ้นได้ในระดับน้ำทะเลจนถึงระดับความสูงที่ 2,300 เมตร ขยายพันธุ์และเพาะปลูกด้วยวิธีการใช้เมล็ดและการเพาะกล้า
1,016.77 กิโลกรัมต่อไร่
ต้นถั่วพู จัดเป็นไม้เลื้อย ไม่มีเนื้อไม้แต่มีอายุหลายปี ลำต้นเลื้อยพัน เป็นพืชที่มีลำต้นสีเขียวและเขียวปนม่วง ส่วนของรากเป็นรากที่สะสมอาหารอยู่ใต้ดิน มีปมซึ่งเป็นที่อยู่ของเชื้อไรโซเบียมจำนวนมาก ใบถั่วพู ใบเรียงสลับ เป็นใบประกอบแบบขนนก ใบย่อยมี 3 ใบ โคนใบกลมและเบี้ยว ส่วนปลายใบแหลม มีรูปร่างหลายแบบ เช่น รูปสามเหลี่ยม รูปไข่ และรูปใบหอก[1],[4] ดอกถั่วพู ออกดอกเป็นช่อตามซอกใบเป็นแบบช่อกระจะ ในช่อหนึ่ง ๆ จะมีดอกอยู่ประมาณ 3-12 ดอก กลีบเลี้ยงเชื่อมติดกันลักษณะคล้ายรูประฆัง ปลายเป็น 5 กลีบ กลีบเป็นซี่สั้น ๆ กลีบดอกมีสีระหว่างขาวและสีม่วงแดง สีน้ำเงิน สีแดง ดอกมีเกสรตัวผู้อยู่ 10 ก้าน แบ่งเป็น 2 มัด มัดหนึ่งมี 9 ก้าน ส่วนอีกมัดมี 1 ก้าน[4] ฝักถั่วพู ฝักเป็นรูปขอบขนานถึงรูปแถบ มีหน้าตัดเป็นรูปสีเหลี่ยม และแต่ละมุมของฝักจะมีปีกตามยาว ปีกมีลักษณะเป็นหยักแบบจักคล้ายฟันเลื่อย มีสีเขียว มีรูปร่างเป็นฝักสี่เหลี่ยม มีปีก 4 ปีก เมื่อตัดตามขวางจะแบ่งได้เป็น 4 แบบคือ rectangular, semi flat, flat on sides และ flat on suture ฝักมีความยาวประมาณ 11.2-29.9 เซนติเมตร สีของฝักมีทั้งสีเขียว สีม่วง และสีเหลือง ส่วนผิวของฝักจะแบ่งออกเป็น 2 แบบคือ แบบผิวเรียบและแบบผิวหยาบมาก ในฝักถั่วพูจะมีเมล็ดอยู่ประมาณ 8-20 เมล็ด[1],[4] เมล็ดถั่วพู ลักษณะของเมล็ดเป็นรูปกึ่งทรงกลม มีตั้งแต่สีขาว สีเหลือง สีครีม สีน้ำตาล สีดำ และแบบที่เป็นลวดลายต่าง ๆ แต่ส่วนใหญ่แล้วเมล็ดจะมีสีน้ำตาล และยังมีขนาดต่าง ๆ กัน โดยน้ำหนัก 100 เมล็ด อยู่ในช่วง 11-4.6 กรัม
ต้นถั่วพู จัดเป็นไม้เลื้อย ไม่มีเนื้อไม้แต่มีอายุหลายปี ลำต้นเลื้อยพัน เป็นพืชที่มีลำต้นสีเขียวและเขียวปนม่วง ส่วนของรากเป็นรากที่สะสมอาหารอยู่ใต้ดิน มีปมซึ่งเป็นที่อยู่ของเชื้อไรโซเบียมจำนวนมาก ใบถั่วพู ใบเรียงสลับ เป็นใบประกอบแบบขนนก ใบย่อยมี 3 ใบ โคนใบกลมและเบี้ยว ส่วนปลายใบแหลม มีรูปร่างหลายแบบ เช่น รูปสามเหลี่ยม รูปไข่ และรูปใบหอก[1],[4] ดอกถั่วพู ออกดอกเป็นช่อตามซอกใบเป็นแบบช่อกระจะ ในช่อหนึ่ง ๆ จะมีดอกอยู่ประมาณ 3-12 ดอก กลีบเลี้ยงเชื่อมติดกันลักษณะคล้ายรูประฆัง ปลายเป็น 5 กลีบ กลีบเป็นซี่สั้น ๆ กลีบดอกมีสีระหว่างขาวและสีม่วงแดง สีน้ำเงิน สีแดง ดอกมีเกสรตัวผู้อยู่ 10 ก้าน แบ่งเป็น 2 มัด มัดหนึ่งมี 9 ก้าน ส่วนอีกมัดมี 1 ก้าน[4] ฝักถั่วพู ฝักเป็นรูปขอบขนานถึงรูปแถบ มีหน้าตัดเป็นรูปสีเหลี่ยม และแต่ละมุมของฝักจะมีปีกตามยาว ปีกมีลักษณะเป็นหยักแบบจักคล้ายฟันเลื่อย มีสีเขียว มีรูปร่างเป็นฝักสี่เหลี่ยม มีปีก 4 ปีก เมื่อตัดตามขวางจะแบ่งได้เป็น 4 แบบคือ rectangular, semi flat, flat on sides และ flat on suture ฝักมีความยาวประมาณ 11.2-29.9 เซนติเมตร สีของฝักมีทั้งสีเขียว สีม่วง และสีเหลือง ส่วนผิวของฝักจะแบ่งออกเป็น 2 แบบคือ แบบผิวเรียบและแบบผิวหยาบมาก ในฝักถั่วพูจะมีเมล็ดอยู่ประมาณ 8-20 เมล็ด[1],[4] เมล็ดถั่วพู ลักษณะของเมล็ดเป็นรูปกึ่งทรงกลม มีตั้งแต่สีขาว สีเหลือง สีครีม สีน้ำตาล สีดำ และแบบที่เป็นลวดลายต่าง ๆ แต่ส่วนใหญ่แล้วเมล็ดจะมีสีน้ำตาล และยังมีขนาดต่าง ๆ กัน โดยน้ำหนัก 100 เมล็ด อยู่ในช่วง 11-4.6 กรัม
1. ฝักอ่อนถั่วพูช่วยบำรุงร่างกาย (ฝักอ่อน) หรือจะใช้เมล็ดแก่ตากแห้งนำมาบดให้เป็นผง นำมาละลายกับน้ำครั้งละ 5-6 กรัม ใช้รับประทานก่อนอาหารวันละ 3 เวลา (เมล็ด) ส่วนหัวก็ช่วยบำรุงร่างกายด้วยเช่นกัน (หัว) 2. หัวใต้ดินนำมาเผาหรือนึ่งกินช่วยบำรุงกำลัง หรือจะใช้รากถั่วพูใช้ผสมกับสมุนไพรและน้ำดอกไม้ใช้เป็นยาชูกำลังก็ได้เช่นกัน (หัว, ราก) และอีกตำราบอกว่าให้ใช้เมล็ดแก่นำมาต้มให้สุกแล้วรับประทาน หรือจะนำเมล็ดที่ต้มสุกแล้วมาบดให้ละเอียดผสมกับน้ำสุก ใช้ดื่มก่อนอาหารวันละ 3 เวลาก็จะช่วยทำให้สุขภาพแข็งแรง เพิ่มกำลังวังชาได้เช่นกัน 3. หัวถั่วพู เมื่อนำมาตากแห้งแล้วคั่วให้เหลือง ใช้ชงกับน้ำดื่ม ช่วยแก้อาการอ่อนเพลียได้ ส่วนฝักอ่อนก็ช่วยได้เช่นกัน (หัว, ฝักอ่อน) 4. ถั่วพูอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด เช่น วิตามินเอ ซี อี และยังเป็นผักที่มีโปรตีนสูง ซึ่งเป็นตัวช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกายและทำให้ร่างกายแข็งแรง (ฝัก) 5. หัวมีรสชุ่มเย็น ช่วยทำให้ดวงจิตชุ่มชื่น (หัว) 6. การรับประทานถั่วพูเป็นประจำจะช่วยบำรุงกระดูกและฟันได้เป็นอย่างดี เพราะถั่วพูมีแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูง (ฝัก) 7. รากใช้ประกอบสมุนไพรและน้ำดอกไม้ ใช้เป็นยาแก้โรคหัวใจ (ราก) 8. หัวถั่วพูช่วยแก้ไข้กาฬ (หัว) 9. ช่วยแก้อาการตัวร้อน ลดไข้ในเด็กทารก (ฝักอ่อน) 10. ใบถั่วพูช่วยแก้อาการอาเจียน (ใบ) 11. หัวช่วยแก้อาการร้อนใน กระหายน้ำ (หัว) 12. ถั่วพูเป็นผักที่มีเส้นใยอาหารสูง จึงช่วยระบบขับถ่ายให้ทำงานอย่างเป็นปกติ ช่วยป้องกันอาการท้องผูก (ฝัก) 13. ช่วยแก้อาการปวดมวนท้อง (ราก) 14. ช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย (ฝักอ่อน) 15. รากถั่วพูช่วยแก้โรคลมพิษกำเริบ ทำให้คลั่งเพ้อ (ราก) 16. รากใช้ปรุงเป็นยาโรคเพื่อวาโยธาตุกำเริบ ใช้รักษาดีพลุ่งพล่าน ให้คลั่งเพ้อ อาการปวดมวนท้อง กระทำให้ตาแดง ซึ่งในตำรับยาประกอบไปด้วย รากถั่วพู, พริกไทย, จันทร์ทั้งสอง, กฤษณาเสมอภาค, น้ำกระทือ, น้ำมะนาว, น้ำอ้อย, และคุลีการละลาย (ราก)
พริกกะเหรี่ยงจัดเป็นพริกขี้หนูที่นิยมปลูกกันมากชนิดหนึ่งโดยปลูกกันมากตามแนวเขตชายแดนไทย-พม่า เช่น เพชรบุรี กาญจนบุรี และตาก เนื่องจากเป็นพริกพันธุ์พื้นเมืองที่มีความทนทานต่อสภาพแวดล้อม สามารถปรับตัวได้ดี มีระยะการเก็บเกี่ยวนาน 7-8 เดือน
เฉลี่ย 200-300 กิโลกรัมต่อไร่
ไม้ล้มลุกสูง 0.3-1.5 เมตร มีเอกลักษณ์เฉพาะทั้งในด้านรูปร่าง สีผิว รวมทั้งมีสารแคปไซซินที่ให้ความเผ็ดสูง และมีความหอมซึ่งเป็นลักษณะเด่นประจำพันธุ์ ทำให้เป็นที่นิยมของทั้งผู้บริโภคและโรงงานอุตสาหกรรม
ไม้ล้มลุกสูง 0.3-1.5 เมตร มีเอกลักษณ์เฉพาะทั้งในด้านรูปร่าง สีผิว รวมทั้งมีสารแคปไซซินที่ให้ความเผ็ดสูง และมีความหอมซึ่งเป็นลักษณะเด่นประจำพันธุ์ ทำให้เป็นที่นิยมของทั้งผู้บริโภคและโรงงานอุตสาหกรรม
มีวิตามินซี สูง เป็นแหล่งของกรด ascorbic ซึ่งสารเหล่านี้ ช่วยขยายเส้นโลหิตในลำไส้และกระเพาะอาหารเพื่อให้ดูดซึมอาหารดีขึ้น ช่วยร่างกายขับถ่าย ของเสียและนำธาตุอาหารไปยังเนื้อเยื่อของร่างกาย
ลักษณะเด่นพริกกะเหรี่ยง 1. มีความทนทานต่อสภาพแวดล้อม ทนทานต่อสภาวะอากาศ และโรคแมลง 2. ลำต้นใหญ่ การแตกแขนงดี สามารถให้ผลผลิตติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน 3. เป็นที่นิยมทำเป็นพริกตากแห้งได้ดี คุณภาพผลสด 3 กิโลกรัม ตากแห้งได้ 1-1.3 กิโลกรัม 4. มีความเผ็ด และหอมซึ่งเป็นลักษณะประจำพันธุ์ของพริกกะเหรี่ยง 5. โรงงานทำซอสพริกนิยมนำไปปั่นผสมกับพริกหนุ่มเขียว เพื่อเพิ่มความเผ็ด และความหอม
แหล่งที่มา : กิ่งฉัตร แสงทองดี. 2560. [สื่อออนไลน์]. สืบค้นจาก : https://sites.google.com/site/phrikkraheriyng/ (29 สิงหาคม 2560)
แนะนำให้ปลูกในพื้นที่นาน้ำฝนและนาชลประทาน โดยเฉพาะแหล่งที่มีความต้องการปลูกข้าวคุณภาพพิเศษสำหรับกลุ่มผู้บริโภคที่รักสุขภาพ
ประมาณ 797 กิโลกรัมต่อไร่
ลำต้น เป็นพืชล้มลุกขนาดเล็ก เป็นพืชตระกูลหญ้า มีอายุสั้นเพียงฤดูเดียว ลำต้นตั้งตรง ลำต้นมีลักษณะกลมเล็กๆ มีข้อและปล้องกลวง ช่วงโคนต้นมีข้อและปล้องสั้นกว่า และยาวขึ้นเรื่อยๆ มีเปลือกหนา มีขนหยาบๆปกคลุม ต้นมีสีเขียว ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกตรงข้ามสลับกัน ใบมีลักษณะยาวรี ขอบใบเรียบ มีเส้นกลางใบตามยาวเห็นชัด ก้านใบออกหุ้มรอบๆลำต้น มีขนเล็กๆปกคลุม ผิวใบสากมือ สีเขียว ราก เป็นระบบรากฝอย มีลักษณะกลมเล็กๆ แทงลงในดิน มีรากออกที่ข้อลำต้นที่อยู่ใต้ดิน ออกบริเวณรอบๆลำต้น มีสีน้ำตาล ดอก ออกเป็นช่อ ออกปลายยอด ก้านช่อดอกยาว มีดอกย่อยจำนวนมาก มีลักษณะทรงรีเล็กๆ มีสีขาว มีเกสรสีเหลืองเบาปลิวกระจายได้ ก้านช่อดอกสั้น ผล เป็นเมล็ด อยู่เป็นช่อ มีลักษณะทรงรี เรียวยาวเล็กๆ มีเปลือกแข็งแห้งหุ้มเมล็ด เปลือกเมล็ดอ่อนมีสีเขียว เปลือกเมล็ดมีสีเหลืองทอง ข้างในมีเมล็ดแข็งมาก มีเยื่อหุ้มเมล็ดสีแดงเข้ม เมล็ดมีสีน้ำตาลแดงเข้ม เมื่อหุงสุกแล้วเมล็ดจะร่วนสวย นุ่มเหนียว มีกลิ่นหอม
ลำต้น เป็นพืชล้มลุกขนาดเล็ก เป็นพืชตระกูลหญ้า มีอายุสั้นเพียงฤดูเดียว ลำต้นตั้งตรง ลำต้นมีลักษณะกลมเล็กๆ มีข้อและปล้องกลวง ช่วงโคนต้นมีข้อและปล้องสั้นกว่า และยาวขึ้นเรื่อยๆ มีเปลือกหนา มีขนหยาบๆปกคลุม ต้นมีสีเขียว ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกตรงข้ามสลับกัน ใบมีลักษณะยาวรี ขอบใบเรียบ มีเส้นกลางใบตามยาวเห็นชัด ก้านใบออกหุ้มรอบๆลำต้น มีขนเล็กๆปกคลุม ผิวใบสากมือ สีเขียว ราก เป็นระบบรากฝอย มีลักษณะกลมเล็กๆ แทงลงในดิน มีรากออกที่ข้อลำต้นที่อยู่ใต้ดิน ออกบริเวณรอบๆลำต้น มีสีน้ำตาล ดอก ออกเป็นช่อ ออกปลายยอด ก้านช่อดอกยาว มีดอกย่อยจำนวนมาก มีลักษณะทรงรีเล็กๆ มีสีขาว มีเกสรสีเหลืองเบาปลิวกระจายได้ ก้านช่อดอกสั้น ผล เป็นเมล็ด อยู่เป็นช่อ มีลักษณะทรงรี เรียวยาวเล็กๆ มีเปลือกแข็งแห้งหุ้มเมล็ด เปลือกเมล็ดอ่อนมีสีเขียว เปลือกเมล็ดมีสีเหลืองทอง ข้างในมีเมล็ดแข็งมาก มีเยื่อหุ้มเมล็ดสีแดงเข้ม เมล็ดมีสีน้ำตาลแดงเข้ม เมื่อหุงสุกแล้วเมล็ดจะร่วนสวย นุ่มเหนียว มีกลิ่นหอม
1. ด้วยมีคุณค่าทางอาหารสูง มีโปรตีน ธาตุเหล็ก และฟอสฟอรัสสูง 2. ประโยชน์ในการบำรุงโลหิต 3. บำรุงร่างกายให้แข็งแรง
ข้าวทับทิมชุมแพ เกิดจากการผสมพันธุ์ ระหว่างข้าวเจ้าพันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 กลายพันธุ์จากรังสี ทรงต้นเตี้ย ที่มีลักษณะต้านทานต่อโรคไหม้ไม่ไวต่อช่วงแสงเป็นพันธุ์แม่ กับข้าวเจ้าพันธุ์สังข์หยด ซึ่งเป็นข้าวเจ้าที่มีเยื่อหุ้มเมล็ดสีแดงไวต่อช่วงแสงอายุหนัก ต้นสูง เป็นพันธุ์พ่อ
พื้นที่ภาคเหนือตอนบน
450 – 510 กิโลกรัมต่อไร่
ลำต้นตั้ง ใบสีเขียวเข็มค่อนข้างตั้ง หูใบสีม่วง เยื่อหุ้มเมล็ดสีม่วง
ลำต้นตั้ง ใบสีเขียวเข็มค่อนข้างตั้ง หูใบสีม่วง เยื่อหุ้มเมล็ดสีม่วง
สมัยก่อนหญิงไทยที่มีการตกเลือดหลังคลอดลูก จะใช้ต้นข้าวเหนียวดำ หรือข้าวก่ำมาต้มกับใบชาดื่มแก้อาการตกเลือด และวิตามินอีในข้าวเหนียวดำช่วยบำรุงสายตา ช่วยบำรุงผิว ลดรอยด่างดำ ลดรอยหยาบกร้าน
ข้าวจ้าวก่ำสายน้ำแร่แจ้ซ้อน มีการแตกกอดี อายุการเก็บเกี่ยว 120 วัน ไม่ไวแสง ความสูงเมื่อเก็บเกี่ยวประมาณ 110-120 เซ็นติเมตร เมล็ดข้าวเปลือกเรียวยาวระหว่างพัฒนามีสีม่วงและเปลี่ยนเป็นสีฟางเข้มเมื่อสุกแก่ เยื่อหุ้มเมล็ดข้าวกล้องสีม่วงเข้มและมีน้ำหนัก 21.30 กรัม (ต่อข้าวกล้อง 1,000 เมล็ด) ขนาดข้าวกล้อง : กว้าง 2.09 มิลลิเมตร ยาว 7.28 มิลลิเมตร หนา 1.7 มิลลิเมตร เมื่อหุงสุกไม่แข็ง อ่อนนุ่ม แหล่งที่มาของพันธุ์ : มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนาลำปาง เก็บรวบรวม พันธุ์จากแปลงเกษตรกรที่ปลูกข้าวสีในจังหวัดลำปาง(ปี2549) แล้วคัดเลือกข้าวจากรวงที่มีเมล็ดลักษณะที่ดี ดำเนินการปลูกและคัดต่อเนื่อง จนได้ข้าวที่สม่ำเสมอ จึงกระจายเมล็ดพันธุ์ด้วยตนเอง และปลูกจำหน่ายในชื่อกลุ่มของกลุ่มวิสาหกิจที่กลุ่มตั้งขึ้น วิสหกิจชุมชนกลุ่มข้าวทิพย์ร่มโพธิ์ ได้รับมอบเมล็ดพันธ์ุข้าวจาก มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนาลำปาง โดย ผศ.อัครเดช พิมพะนิตย์ และ ดร.ไกรสีห์ พิสิษฐ์กุล ทางกลุ่มฯ ได้นำมาปลูกโดยใช้น้ำแร่จากอุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน จึงให้ตั้งชื่อว่า "ข้าวจ้าวก่ำสายน้ำแร่แจ้ซ้อน" ตามสภาพพื้นที่ปลูกนาข้าวได้รับน้ำแร่จากบ่อน้ำแร่แจ้ซ้อน
เป็นต้นไม้ประเภทไม้เลื้อย มีความสูงประมาณ 5 เมตร ลักษณะของลำต้นเป็นข้อๆ เป็นต้นไม้ที่มีอายุยืน ระบบรากของต้นพริกไทยจะมีเกิดบริเวณข้อตามลำต้นเป็นรากเล็กๆจะเป็นรากที่ ช่วยยึดเกาะ และมีรากที่อยู่ในดินขนาดใหญ่ประมาณ 3-6 ราก แต่ละรากจะมีรากฝอย ลักษณะใบจะมีสีเขียวสด ใบใหญ่คล้ายใบโพ ดอกของพริกไทยจะมีขนาดเล็ก จะออกช่อตามข้อเป็นพวง เมล็ดจะมีลักษณะกลมติดกันเป็นพวง
เป็นต้นไม้ประเภทไม้เลื้อย มีความสูงประมาณ 5 เมตร ลักษณะของลำต้นเป็นข้อๆ เป็นต้นไม้ที่มีอายุยืน ระบบรากของต้นพริกไทยจะมีเกิดบริเวณข้อตามลำต้นเป็นรากเล็กๆจะเป็นรากที่ ช่วยยึดเกาะ และมีรากที่อยู่ในดินขนาดใหญ่ประมาณ 3-6 ราก แต่ละรากจะมีรากฝอย ลักษณะใบจะมีสีเขียวสด ใบใหญ่คล้ายใบโพ ดอกของพริกไทยจะมีขนาดเล็ก จะออกช่อตามข้อเป็นพวง เมล็ดจะมีลักษณะกลมติดกันเป็นพวง
พริกไทยดำ มีประโยชน์ในการรักษาโรคต่าง ๆ เช่น โรคกระเพาะ ลำไส้ แก้ปวด แก้อักเสบ เป็นต้น ทางตำราจีน จะใช้พริกไทยดำ ในการรักษา โรคท้องเดินจากอหิวาต์ โรคมาลาเรีย และแก้ไข้ น้ำมันในพริกไทยดำ
พืชที่สร้างความเผ็ดร้อน แก่อาหารเพิ่มรสชาติที่ดี ไม่ควรรับประทานพริกไทยมากเกินไป ผู้ป่วยเกี่ยวกับโรคตาและเจ็บคอไม่ควรรับประทาน พริกไทยดำจะมีสรรพคุณทางยามากกว่าพริกไทยล่อนโดยเฉพาะสรรพคุณที่นำมาประกอบเป็นยาอายุวัฒนะ
ชาตัวนี้มีสารชนิดหนึ่งขี่อ Gymnema ลดการดูดซึมของน้ำตาลในเลือด และก็มีส่วนเพิ่มอินซูลิน มีการนำสารตัวนี้ไปเป็นส่วนประกอบของยาลดเบาหวาน
ชาจากสมุนไพรพื้นบ้าน ราชินีของผักพื้นบ้านทางภาคเหนือ ชาเชียงดาออร์แกนิก สำหรับผู้ที่มีปัญหาระดับน้ำตาลในเลือดสูง ช่วยปรับระดับอินซูลินในร่ายกายให้อยู่ในสภาวะที่สมดุล วิตามิน C และ E สูง ชะลอความชรา ช่วยลดน้ำหนักได้
โรงเพาะปลูก
ต้นอ่อน
ต้นอ่อน
1. สรรพคุณของผักคะน้ามีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ จึงช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายได้ 2. ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานในกับร่างกาย ทำให้มีสุขภาพแข็งแรง 3. ช่วยบำรุงผิวพรรณและป้องกันการติดเชื้อต่าง ๆ 4. ผักคะน้ามีวิตามินซี ซึ่งมีส่วนช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อให้ชุ่มชื้นมากขึ้น (วิตามินซี) 5. ช่วยบำรุงและรักษาสายตา (วิตามินเอ) 6. คะน้ามีสารลูทีน (Lutein) ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคต้อกระจกได้ถึง 29% (ลูทีน) 7. ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อมและยังช่วยป้องกันการเสื่อมของศูนย์จอตาได้อีกด้วย 8. ช่วยบำรุงโลหิต ธาตุเหล็กและธาตุโฟเลตในผักคะน้ามีความสำคัญต่อการสร้างเม็ดเลือดแดง ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต ธาตุเหล็กเป็นส่วนประกอบของกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อต่าง ๆ ทำหน้าที่ช่วยขับออกซิเจนที่เลือดนำมาไว้ใช้ ช่วยป้องกันการเกิดโรคโลหิตจาง 9. ผักคะน้ามีแคลเซียม ซึ่งมีส่วนช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟัน ช่วยป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุน ช่วยลดอาการกินของจุบจิบ เพราะแคลเซียมจะช่วยปรับระดับของฮอร์โมนให้คงที่ ทำให้ความอยากกินของจุบจิบสลายตัวไปได้ 10. มีส่วนช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล 11. ผักคะน้ามีแมกนีเซียมสูง ซึ่งช่วยลดความถี่ของอาการไมเกรนลงได้ 12. ช่วยชะลอปัญหาความจำเสื่อม ทำให้อัตราการเปลี่ยนของความจำช้าลง และช่วยชะลอการเสื่อมของอายุสมอง (วิตามินอี) 13. มีคุณสมบัติช่วยป้องกันยับยั้งการเจริญของเนื้องอก ยับยั้งสารก่อมะเร็ง ต่อต้านอนุมูลอิสระและสารก่อมะเร็ง ช่วยส่งเสริมการทำงานของเอนไซม์ที่ช่วยขับพิษของสารก่อมะเร็ง 14. ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งลำไส้ มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มะเร็งปอด และมะเร็งเต้านม 15. ช่วยรักษาโรคหอบหืด เพราะช่วยลดการบีบตัวของกล้ามเนื้อเรียบในหลอดลม และยังช่วยขยายหลอดลมของผู้ที่เป็นโรคหอบหืดอีกด้วย ช่วยรักษาโรคภูมิแพ้ ช่วยคลายการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อหลอดลมเมื่อถูกโจมตีด้วยละอองเกสรหรือฝุ่นที่ทำให้ร่างกายต่อต้าน 16. ช่วยป้องกันโรคท้องผูก (เส้นใย) 17. การรับประทานผักคะน้าเป็นประจำจะช่วยป้องกันการเกิดตะคริว 18. ช่วยรักษาสมดุลของระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน ช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย ช่วยลดอาการหงุดหงิด อารมณ์แปรปรวนในสตรีช่วงมีประจำเดือน 19. เป็นผักที่เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวานหรือผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำตาลเป็นพิเศษ เพราะผักคะน้าถือว่าจัดอยู่ในกลุ่มผักที่มีน้ำตาลน้อยที่สุดเลยก็ว่าได้ (3-5%) 20. ช่วยเสริมสร้างสมองของเด็กทารกในครรภ์ (กรดโฟลิก) 21. ผักคะน้ามีโฟเลตสูง จำเป็นอย่างมากสำหรับหญิงตั้งครรภ์ เพราะช่วยลดความเสี่ยงต่อการที่เด็กทารกพิการแต่กำเนิด (โฟเลต)
ไมโครกรีน คือต้นกล้าขนาดเล็ก หรือต้นอ่อนที่เพาะจากเมล็ดของพืช ผัก สมุนไพรชนิดต่างๆ และเจริญเติบโตจนมีใบจริง 2-3 ใบ ขนาดความสูงของต้นกล้าขนาดที่รับประทานได้ประมาณ 2-3 นิ้ว และมีคุณค่าทางสารอาหารมากกว่าผักชนิดเดียวกันที่โตเต็มที่แล้ว 5-40 เท่า แล้วแต่ชนิดผัก
สามารถโตได้ในดินทุกชนิด ดินร่วนปนทรายจะเจริญเติบโตได้ดี
160 กิโลกรัมต่อไร่
เลมอนเป็นผลไม้ที่จัดอยู่ในตระกูลส้ม มีลักษณะเป็นไม้พุ่ม ปลายยอดมีหนามแหลม ลักษณะของใบเป็นใบเดี่ยว เมื่อนำมาขยี้จะมีกลิ่นหอมแรง ส่วนลักษณะของดอกเลมอน ดอกมีกลิ่นหอม และมีสีขาว ส่วนลักษณะของผลเลมอน เป็นรูปกลมรี ที่ปลายผลจะมีติ่งแหลม ผลอ่อนมีสีเขียว เมื่อสุกจะเป็นสีเหลือง ในผลมีเมล็ดหลายเมล็ด เนื้อผลฉ่ำน้ำและมีรสเปรี้ยว
เลมอนเป็นผลไม้ที่จัดอยู่ในตระกูลส้ม มีลักษณะเป็นไม้พุ่ม ปลายยอดมีหนามแหลม ลักษณะของใบเป็นใบเดี่ยว เมื่อนำมาขยี้จะมีกลิ่นหอมแรง ส่วนลักษณะของดอกเลมอน ดอกมีกลิ่นหอม และมีสีขาว ส่วนลักษณะของผลเลมอน เป็นรูปกลมรี ที่ปลายผลจะมีติ่งแหลม ผลอ่อนมีสีเขียว เมื่อสุกจะเป็นสีเหลือง ในผลมีเมล็ดหลายเมล็ด เนื้อผลฉ่ำน้ำและมีรสเปรี้ยว
1. น้ำเลมอนช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรค ป้องกันหวัด 2. เลมอนมีสารที่ช่วยต่อต้านมะเร็งอยู่หลายชนิด 3. ช่วยป้องกันและรักษาโรคเลือดออกตามไรฟันได้ 4. เลมอนมีวิตามินพี ซึ่งมีส่วนช่วยทำให้หลอดเลือดแข็งแรง 5. มีส่วนช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง 6. น้ำเลมอนช่วยบำรุงตับและกระตุ้นให้ตับผลิตน้ำดีได้มากยิ่งขึ้น จึงส่งผลให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างเป็นปกติตลอดทั้งวัน 7. ช่วยทำความสะอาดลำไส้ กำจัดของเสียที่ตกค้างอยู่ในลำไส้ 8. ช่วยขับลมในลำไส้ (เปลือก) 9. ช่วยรักษาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียดแน่นท้อง (เปลือก) 10. ช่วยลดขนาดและละลายก้อนนิ้วในถุงน้ำดีและไตให้ขับออกมาทางปัสสาวะ 11. ช่วยลดปริมาณของกรดฟอสฟอริกในปัสสาวะให้น้อยลงจาก 1% เหลือ 0.13% ซึ่งเป็นผลดีต่อสุขภาพร่างกาย 12. ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
675.25 กิโลกรัมต่อไร่
ลักษณะพริกไทย ต้นพริกไทยเป็นต้นไม้ที่มีอายุยืน จัดอยู่ในประเภทไม้เลื้อย สูงประมาณ 5 เมตร ลักษณะของลำต้นจะเป็นข้อ ๆ ลักษณะของใบพริกไทยจะมีสีเขียวสด ใบใหญ่คล้ายใบโพ ส่วนลักษณะของดอกพริกไทยจะมีขนาดเล็ก จะออกช่อตรงข้อของลำต้น มีลักษณะเป็นพวง ซึ่งจะมีเมล็ดกลม ๆ ติดกันอยู่เป็นพวง สายพันธุ์พริกไทย พริกไทยที่นิยมปลูกในบ้านเรามีอยู่ 6 สายพันธุ์ ได้แก่ พันธุ์ใบหนา พันธุ์บ้านแก้ว พันธุ์ปรางถี่ธรรมดา พันธุ์ปรางถี่หยิก พันธุ์ควายขวิด และสายพันธุ์คุชชิ่ง
ลักษณะพริกไทย ต้นพริกไทยเป็นต้นไม้ที่มีอายุยืน จัดอยู่ในประเภทไม้เลื้อย สูงประมาณ 5 เมตร ลักษณะของลำต้นจะเป็นข้อ ๆ ลักษณะของใบพริกไทยจะมีสีเขียวสด ใบใหญ่คล้ายใบโพ ส่วนลักษณะของดอกพริกไทยจะมีขนาดเล็ก จะออกช่อตรงข้อของลำต้น มีลักษณะเป็นพวง ซึ่งจะมีเมล็ดกลม ๆ ติดกันอยู่เป็นพวง สายพันธุ์พริกไทย พริกไทยที่นิยมปลูกในบ้านเรามีอยู่ 6 สายพันธุ์ ได้แก่ พันธุ์ใบหนา พันธุ์บ้านแก้ว พันธุ์ปรางถี่ธรรมดา พันธุ์ปรางถี่หยิก พันธุ์ควายขวิด และสายพันธุ์คุชชิ่ง
1. เมล็ดพริกไทยมีสารฟีนอลิกและสารพิเพอรีน ซึ่งช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ (เมล็ด) 2. เมล็ดพริกไทยมีสารพิเพอรีน (Piperine) ซึ่งเป็นสารอัลคาลอยด์ที่มีส่วนช่วยรักษาและป้องกันการเกิดโรคอัลไซเมอร์ในผู้สูงอายุได้ (เมล็ด) 3. ช่วยป้องกันและต่อต้านสารก่อมะเร็ง ช่วยเร่งการทำงานของตับให้ทำลายสารพิษได้มากขึ้น (เมล็ด) 4. เมล็ดพริกไทยมีฤทธิ์ในการช่วยกระตุ้นประสาท (เมล็ด) 5. ช่วยแก้โรคลมบ้าหมูหรือลมชักได้ (เมล็ด) 6. ช่วยบำรุงธาตุในร่างกาย (เมล็ด) 7. ช่วยทำให้เจริญอาหาร ทำให้ลิ้นของผู้สูงอายุรับรสได้ดียิ่งขึ้น 8. ช่วยบรรเทาอาการนอนไม่หลับ (เมล็ด) 9. ช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกายและเสริมภูมิต้านทานไปด้วยในตัว (เมล็ด) 10. ช่วยแก้ตาแดงเนื่องจากความดันโลหิตสูง (ดอก) 11. ช่วยระงับอาเจียน (ดอก) 12. ช่วยแก้อาการปวดฟัน ด้วยการใช้พริกไทย พริกหาง นำมาบดเป็นผงผสมยาขี้ผึ้ง แล้วปั้นเป็นก้อนเล็ก ๆ นำมาใช้อุดฟันตรงบริเวณที่ปวด (เมล็ด) 13. ช่วยขับเสมหะ เปิดคอให้โล่งขึ้น (เมล็ด) 14. ช่วยแก้เสมหะในทรวงอก แก้ลมพรรดึก (เถา) 15. ช่วยบรรเทาอาการและแก้อาการไอ หอบหืด สะอึก (เมล็ด) 16. ช่วยแก้อติสารหรืออาการลงแดง (เถา) 17. ช่วยแก้อาการวิงเวียนศีรษะ (ราก) 18. ช่วยแก้หวัดและลดไข้ (เมล็ด) 19. ช่วยแก้ไข้เรื้อรัง ด้วยการใช้พริกไทยดำ ใบบัวบกแห้ง ใบกะเพราแห้ง อย่างละเท่า ๆ กัน นำมาบดเป็นผง ปั้นเป็นเม็ดเล็ก ๆ กินครั้งละ 1 เม็ด เช้าและเย็น 20. ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต ช่วยเพิ่มการสูบฉีดโลหิตเข้าใจ (เมล็ด) 21. พริกไทยดำสามารถช่วยละลายลิ่มเลือดและลดการจับตัวเป็นก้อนได้ (อ้างอิง : The central food technological research institute) 22. ช่วยกระตุ้นการขับเหงื่อออกจากร่างกาย เมื่อเหงื่อระเหยออกจากผิวแล้ว จะช่วยทำให้ร่างกายรู้สึกเย็นสบายมากยิ่งขึ้น (เมล็ด) 23. พริกไทยดําช่วยรักษาโรคกระเพาะและลำไส้ 24. ช่วยแก้อาการปวดมวนท้อง (ใบ, ราก) 25. ช่วยรักษาอาการท้องร่วงอย่างรุนแรงและท้องเดินหลาย ๆ ครั้ง (เถา) 26. ช่วยลดการเกิดก๊าซในระบบทางเดินอาหาร จึงช่วยแก้อาการจุกเสียด แน่นท้อง ท้องอืดท้องเฟ้อ (ใบ, เมล็ด) 27. ช่วยแก้ลมอัมพฤกษ์ ขับลมในกระเพาะ (ใบ,เมล็ด,ราก) 28. ช่วยกระตุ้นการไหลของน้ำลายและน้ำย่อยในกระเพาะ ช่วยในการย่อยอาหาร แก้อาการอาหารไม่ย่อย ช่วยย่อยสารพิษตกค้างที่ไม่สามารถย่อยได้ (เมล็ด, ราก) 29. ช่วยทำให้ระบบการย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น (ดอก) 30. ช่วยบรรเทาหรือผ่อนคลายอาการไม่สบายจากอาหารเป็นพิษจากอาหารทะเลและเนื้อสัตว์ต่าง ๆ (ดอก) 31. ช่วยแก้ระดูขาว (เมล็ด) 32. ช่วยแก้อาการอักเสบและโรคอื่น ๆ (พริกไทยดำ) 33. แก้ตะขาบกัด ด้วยการใช้ผงพริกไทยโรยบริเวณแผลที่ถูกกัด (เมล็ด) 34. ช่วยรักษาอาการเมื่อยขบ เป็นเหน็บชาง่ายในช่วงฤดูฝนหรือฤดูหนาว โดยใช้พริกไทย น้ำกะทิ และไข่ไก่ ตีให้เข้ากันแล้วตุ๋นจนสุก และนำพริกไทยขาวเข้าเครื่องยากับเปลือกไข่ไก่ นำไปผิงไฟให้เหลือง แล้วนำมาบดเป็นผงผสมกับน้ำต้มสุก และยังช่วยรักษาอาการชักจากการขาดแคลเซียมได้อีกด้วย 35. รักษากระดูกหัก ด้วยการใช้พริกไทย 5 เมล็ด เปลือกต้นของสบู่ขาว และต้นส้มกบ นำมาตำผสมเหล้าขาวแล้วผัดให้อุ่น พอกให้หนา และใช้ไม้พันผ้าให้แน่น 36. พริกไทยสรรพคุณใช้ทำเป็นยาแก้ผอมแห้งแรงน้อย ด้วยการใช้พริกไทยขาว ข้าวสารคั่วเกลือทะเล อย่างละเท่า ๆ กัน นำมาบดจนเป็นผงและปั้นผสมกับน้ำผึ้ง ขนาดเท่าเมล็ดพุทรา รับประทานก่อนอาหารเช้า เย็น และก่อนนอน ครั้งละ 1 เม็ด จะช่วยทำให้สุขภาพอนามัยดีขึ้นภายในเวลาไม่เกิน 3 เดือน 37. พริกไทยเป็นอาหารที่เหมาะสำหรับคุณแม่มือใหม่ เพราะช่วยทำให้น้ำนมของแม่เพิ่มขึ้น (อ้างอิง : ภญ.ผกากรอง ขวัญข้าว เภสัชกรระดับ 6 รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร) 38. พริกไทยเป็นอาหารที่เหมาะอย่างมากสำหรับคนธาตุเจ้าเรือนเป็นธาตุลม (พฤษภาคม-กรกฎาคม) ซึ่งจะช่วยป้องกันการเจ็บป่วยต่าง ๆ ได้ 39. ช่วยทำให้ผิวสวย ด้วยการใช้พริกไทย ขมิ้นอ้อย กระชาย แห้วหมู นำมาทุบแล้วดองด้วยน้ำผึ้ง นำมารับประทานก่อนนอนทุกวัน จะช่วยทำให้ผิวสวยใสมากยิ่งขึ้น 40. พริกไทยมีวิตามินซีสูง ช่วยปกป้องผิวจากการถูกคุกคามจากแสงแดด 41. ช่วยป้องกันการหลับใน เมื่อขับรถเหนื่อย ๆ หรือง่วงนอน การได้กลิ่นของพริกไทยจะช่วยทำให้รู้สึกตื่นตัวมากยิ่งขึ้น 42. น้ำมันพริกไทยสามารถช่วยลดน้ำหนักตัวได้ และยังสามารถใช้นวดส่วนที่ต้องการลดได้ 43. สูตรสมุนไพรหลายชนิดที่นิยมนำมาปรุงเป็นยาอายุวัฒนะ มักมีพริกไทยรวมอยู่ด้วย 44. สมุนไพรพริกไทยพริกไทยดำมีสรรพคุณช่วยต่อต้านความอ้วน เพราะมีสารพิเพอรีนที่มีรสฉุนและเผ็ดร้อน จึงช่วยขัดขวางไม่ให้เซลล์ไขมันใหม่ก่อตัวขึ้น 45. เมล็ดพริกไทยดำและพริกไทยขาว นิยมนำมาใช้ทำเป็นเครื่องเทศเพื่อใช้แต่งกลิ่นอาหาร ทำให้อาหารน่ารับประทานมากยิ่งขึ้น (เมล็ดพริกไทย) 46. พริกไทยอ่อนช่วยดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ในอาหารได้ เช่น ผักเผ็ดปลาดุก ผัดเผ็ดหมูป่า 47. พริกไทยช่วยถนอมอาหารประเภทเนื้อสัตว์ต่าง ๆ ให้เก็บไว้ได้นานยิ่งขึ้น 48. น้ำมันหอมระเหยจากพริกไทยช่วยรักษาผู้ที่ติดบุหรี่ โดยจะช่วยลดความอยากและลดความหงุดหงิดลงได้ 49. ในปัจจุบันพริกไทยดำได้ถูกนำมาสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหย (Black pepper oil) ซึ่งมีคุณสมบัติฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ต้านพิษต่าง ๆ ช่วยทำให้เจริญอาหาร แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ ช่วยในการย่อยอาหาร รักษาโรคกระเพาะ ใช้เป็นยาระบาย ช่วยบรรเทาอาการปวด ลดอาการกล้ามเนื้อกระตุก ช่วยกระตุ้นกำหนัด ขับเหงื่อ ลดไข้ และช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบประสาท (น้ำมันพริกไทย) 50. ช่วยขับปัสสาวะ (เมล็ด)
มะระสามารถปลูกได้ทั่วไป ปลูกง่าย ชอบอากาศร้อน เจริญเติบโตเร็ว ปลูกได้ตลอดทั้งปี ขึ้นได้กับทุกสภาพดิน ความชื้นเพียงพอแสงแดดเต็มที่ตลอดทั้งวัน อุณหภูมิประมาณ 18-25 องศาเซลเซียส ถ้าอุณหภูมิเย็นจัดจะทำให้การเจริญเติบโตของมะระช้าลง
1,887.34 กิโลกรัมต่อไร่
ต้นมะระจัดเป็นพันธุ์ไม้เลื้อยเขตร้อน เป็นพืชผักอาหารที่อยู่คู่กับคนเอเชียมาช้านาน
ต้นมะระจัดเป็นพันธุ์ไม้เลื้อยเขตร้อน เป็นพืชผักอาหารที่อยู่คู่กับคนเอเชียมาช้านาน
1. ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคและช่วยปกป้องเซลล์จากการทำลายของสารก่อมะเร็งต่าง ๆ (เบตาแคโรทีนในผลมะระ) 2. ช่วยทำให้เจริญอาหารมากยิ่งขึ้น เนื่องจากมีสาร Momodicine ที่ช่วยทำให้น้ำย่อยหลั่งออกมามาก 3. ช่วยทำให้ดวงตาสดใส 4. ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง (แคลเซียม) 5. ช่วยบำบัดและรักษาโรคเบาหวาน ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด 6. ผลมะระมีสรรพคุณในการช่วยฟอกเลือดได้มะระจีน 7. สามารถต้านเชื้อไวรัสและมะเร็งได้ 8. ช่วยขับพิษเสมหะ ขับเสมหะ (ใช้ร่วมกับกะเม็งตัวเมีย) 9. น้ำคั้นจากมะระจีนใช้อมแก้อาการปากเปื่อยได้ 10. ผลมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อน 11. ช่วยในการย่อยอาหาร 12. ช่วยแก้ตับ ม้ามพิการ บำรุงน้ำดี 13. ช่วยกระตุ้นการทำงานของตับให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 14. รากมะระมีฤทธิ์ฝาดสมาน 15. ผลมะระใช้เป็นยาทาภายนอก ช่วยลดอาการระคายเคือง ผิวหนังแห้ง และผิวหนังอักเสบ 16. ช่วยแก้ลมเข้าข้อ ลดอาการปวดบวมที่เข่า 17. ผลสุกของมะระ คั้นเอาแต่น้ำใช้ทาหน้าเพื่อช่วยรักษาสิวอักเสบ (ผลสุก)
ข้าวเหนียวดำ มีถิ่นกำเนิดในแถบประเทศเอเชีย พบแพร่กระจายทั่วเอเชีย ทั้งในประเทศไทย ลาว พม่า เวียดนาม อินเดีย ญี่ปุ่น และจีน ส่วนประเทศไทย ข้าวเหนียวดำ พบปลูกมากในภาคเหนือ และภาคอีสาน
ราก และลำต้น รากข้าวเหนียวดำมีทั้งรากใต้ดินที่แตกจากโคนต้น และรากอากาศที่แตกออกบริเวณข้อโคนลำต้น แต่รากทำงานหลักจะเป็นรากใต้ดิน โดยระบบรากใต้ดินจะเป็นรากแขนง แตกออกเป็นกระจุกแน่นที่โคนต้น รากมีลักษณะกลม เป็นเส้นยาวสีน้ำตาล แทงดิ่งลงลึกประมาณ 20-30 เซนติเมตร แต่หากดินร่วนมากจะแทงลึกมากกว่านี้ ลำต้นข้าวเหนียวดำมีความสูงประมาณ 80-120 เซนติเมตร ลำต้นมีลักษณะกลม เป็นข้อปล้อง และมีข้อกั้นระหว่างปล้อง มีข้อปล้องประมาณ 15-25 ปล้อง แต่ละปล้องถูกห่อหุ้มด้วยกาบใบ ด้านในกลวงเป็นช่องอากาศ ลำต้น และกาบใบที่หุ้มมีสีม่วงแดงอมเขียว หรือบางพันธุ์มีสีเขียว ยกเว้นเมล็ด และต้นกล้าหรือช่วงที่เติบโตอาจมีสีเขียว จากนั้น ค่อยเปลี่ยนเป็นสีม่วงอมเขียว หรือบางพันธุ์มีลำต้นสีม่วงแดงตลอดการเติบโต ใบ ใบข้าวเหนียวดำออกเป็นใบเดี่ยว แตกใบที่บริเวณข้อ ใบเรียงเยื้องสลับข้างกันตามความสูงของลำต้น ประกอบด้วยกาบใบยาวที่ห่อหุ้มลำต้นไว้ ถัดมาเป็นหูใบขนาดเล็ก และถัดมาเป็นแผ่นใบ ยาวประมาณ 30-60 เซนติเมตร แผ่นใบมีลักษณะบาง และเรียวยาว ปลายใบแหลม แผ่นใบสากมือ แผ่นใบมีสีม่วงแดงอมเขียว แต่บางพันธุ์มีลำต้น ใบ และส่วนอื่นสีเขียว รวงข้าว และดอก ข้าวเหนียวดำออกดอกเป็นช่อกระจะมีรวงข้าวทรงกลม มีลักษณะเป็นข้อปล้อง บริเวณข้อแตกแขนงก้านดอก บนก้านช่อแขนงประกอบด้วยดอกย่อยที่เป็นดอกสมบูรณ์เพศ มีอับเรณู 6 อัน และมีเกสรตัวเมีย 2 อัน เมล็ด เมล็ดข้าวเหนียวดำมีลักษณะคล้ายกับเมล็ดข้าวอื่นๆ แต่จะต่างจากข้าวอื่นๆที่เปลือกเมล็ด และส่วนอื่นในเมล็ดมีสีม่วงแดงหรือสีม่วงดำ
ราก และลำต้น รากข้าวเหนียวดำมีทั้งรากใต้ดินที่แตกจากโคนต้น และรากอากาศที่แตกออกบริเวณข้อโคนลำต้น แต่รากทำงานหลักจะเป็นรากใต้ดิน โดยระบบรากใต้ดินจะเป็นรากแขนง แตกออกเป็นกระจุกแน่นที่โคนต้น รากมีลักษณะกลม เป็นเส้นยาวสีน้ำตาล แทงดิ่งลงลึกประมาณ 20-30 เซนติเมตร แต่หากดินร่วนมากจะแทงลึกมากกว่านี้ ลำต้นข้าวเหนียวดำมีความสูงประมาณ 80-120 เซนติเมตร ลำต้นมีลักษณะกลม เป็นข้อปล้อง และมีข้อกั้นระหว่างปล้อง มีข้อปล้องประมาณ 15-25 ปล้อง แต่ละปล้องถูกห่อหุ้มด้วยกาบใบ ด้านในกลวงเป็นช่องอากาศ ลำต้น และกาบใบที่หุ้มมีสีม่วงแดงอมเขียว หรือบางพันธุ์มีสีเขียว ยกเว้นเมล็ด และต้นกล้าหรือช่วงที่เติบโตอาจมีสีเขียว จากนั้น ค่อยเปลี่ยนเป็นสีม่วงอมเขียว หรือบางพันธุ์มีลำต้นสีม่วงแดงตลอดการเติบโต ใบ ใบข้าวเหนียวดำออกเป็นใบเดี่ยว แตกใบที่บริเวณข้อ ใบเรียงเยื้องสลับข้างกันตามความสูงของลำต้น ประกอบด้วยกาบใบยาวที่ห่อหุ้มลำต้นไว้ ถัดมาเป็นหูใบขนาดเล็ก และถัดมาเป็นแผ่นใบ ยาวประมาณ 30-60 เซนติเมตร แผ่นใบมีลักษณะบาง และเรียวยาว ปลายใบแหลม แผ่นใบสากมือ แผ่นใบมีสีม่วงแดงอมเขียว แต่บางพันธุ์มีลำต้น ใบ และส่วนอื่นสีเขียว รวงข้าว และดอก ข้าวเหนียวดำออกดอกเป็นช่อกระจะมีรวงข้าวทรงกลม มีลักษณะเป็นข้อปล้อง บริเวณข้อแตกแขนงก้านดอก บนก้านช่อแขนงประกอบด้วยดอกย่อยที่เป็นดอกสมบูรณ์เพศ มีอับเรณู 6 อัน และมีเกสรตัวเมีย 2 อัน เมล็ด เมล็ดข้าวเหนียวดำมีลักษณะคล้ายกับเมล็ดข้าวอื่นๆ แต่จะต่างจากข้าวอื่นๆที่เปลือกเมล็ด และส่วนอื่นในเมล็ดมีสีม่วงแดงหรือสีม่วงดำ
วิตามินอีในข้าวเหนียวดำช่วยบำรุงสายตา ช่วยบำรุงผิว ลดรอยด่างดำ ลดรอยหยาบกร้านแกมมาโอไรซานอล ต้านเซลล์มะเร็ง ลดการดูดซึมคอเลสเตอรอล ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ลดความหยาบกร้านของผิวหนัง ช่วยสารชะลอความแก่ ช่วยเสริมภูมิต้านทานแก่ร่างกาย ช่วยลดอาการผิดปกติของวัยทอง ช่วยต้านอาการอักเสบ ป้องกันโรคหัวใจ และโรคของหลอดเลือด สารแอนโทไซยานิน ช่วยลดระดับโคเลสเตอรอล ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง ใช้รักษาโรคอ้วน ช่วยปรับความดันเลือดให้เป็นปกติ ช่วยลดไขมันอุดตันในเส้นเลือด ป้องกันโรคหัวใจ และหลอดเลือด ป้องกันโรคความจำเสื่อม ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความแก่ ช่วยลดการอักเสบ ช่วยป้องกันผิวหนังจากรังสียูวี ช่วยลดเลือนริ้วรอยของผิวหนัง และทำให้ผิวพรรณผ่องใส ประเทศจีน และไต้หวันใช้ข้าวสีดำมาต้มรับประทานเพื่อรักษาโรคตับอักเสบ ประเทศอินเดียนำข้าวมาต้มน้ำดื่มหรือรับประทานเมล็ดข้าวต้ม เพื่อรักษาโรคดีซ่าน รักษาโรคไทรอยด์ ประเทศอิหร่านรับประทานข้าวต้ม เพื่อรักษาโรคลำไส้อักเสบ และใช้น้ำข้าวต้มสวนทวารเพื่อรักษาโรคท้องร่วง ประเทศเม็กซิโก ใช้เมล็ดข้าวรักษาอาการท้องร่วง ประเทศญี่ปุ่น รับประทานข้าวสีดำเพื่อบำรุงร่างกาย
พื้นที่ที่ไม่มีน้ำขัง มีการระบายน้ำได้ดี เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วน ร่วนปนทราย หรือดินเหนียวที่มีการปรับสภาพให้เหมาะสม
ต้น ไม้ยืนต้นขนาดเล็กหรือขนาดกลาง สูง 8 เมตร แตกกิ่งก้านสาขามาก มีหนามตามกิ่งหรือไม่มี กิ่งที่แตกแขนงมักจะชูตั้งขึ้นและมีขนาดค่อนข้างเล็ก เรือนยอดกลม ใบ เป็นชนิดใบเดี่ยว โคนใบไม่มีปีกหรือมีเล็กน้อย ใบสีเขียวเป็นมันมีต่อมน้ำมันอยู่ตามแผ่นใบ ใบมีรูปร่างแบบรูปไข่ปลายแหลม ขนาดของใบจะใหญ่กว่าใบมะนาว ดอก มีขนาดเล็กสีขาวดอกมีกลิ่นหอม ออกเป็นดอกเดียวหรือเป็นกลุ่มตามง่ามใบ หรือบริเวณปลายยอด ที่แตกใหม่มีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ กลีบดอก 5 กลีบ กลีบดอกสีขาว ผล เป็นชนิดเบอร์รี่รูปทรงกลมแป้นเล็กน้อย ด้านปลายผลราบเป็นแอ่งตื้นๆ ฐานผลส่วนใหญ่มน บางสายพันธุ์อาจมีจุกขนาดเล็ก ผิวผลเรียบมีต่อมน้ำมันเป็นตุ่มตามผิวผลทั่วไป ผิวผลเมื่อแก่จัด มีสีเขียวอมเหลือง แต่ส้มที่ปลูกในเขตที่มีอากาศเย็นผิวผลจะมีสีเหลืองเปลือกบาง ล่อนกลีบแยก จากกันได้ง่ายมีประมาณ 11 กลีบ ผนังกลีบบาง ถุงน้ำหวานมีขนาดสั้น ฉ่ำน้ำ เนื้อมีสีส้ม
ต้น ไม้ยืนต้นขนาดเล็กหรือขนาดกลาง สูง 8 เมตร แตกกิ่งก้านสาขามาก มีหนามตามกิ่งหรือไม่มี กิ่งที่แตกแขนงมักจะชูตั้งขึ้นและมีขนาดค่อนข้างเล็ก เรือนยอดกลม ใบ เป็นชนิดใบเดี่ยว โคนใบไม่มีปีกหรือมีเล็กน้อย ใบสีเขียวเป็นมันมีต่อมน้ำมันอยู่ตามแผ่นใบ ใบมีรูปร่างแบบรูปไข่ปลายแหลม ขนาดของใบจะใหญ่กว่าใบมะนาว ดอก มีขนาดเล็กสีขาวดอกมีกลิ่นหอม ออกเป็นดอกเดียวหรือเป็นกลุ่มตามง่ามใบ หรือบริเวณปลายยอด ที่แตกใหม่มีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ กลีบดอก 5 กลีบ กลีบดอกสีขาว ผล เป็นชนิดเบอร์รี่รูปทรงกลมแป้นเล็กน้อย ด้านปลายผลราบเป็นแอ่งตื้นๆ ฐานผลส่วนใหญ่มน บางสายพันธุ์อาจมีจุกขนาดเล็ก ผิวผลเรียบมีต่อมน้ำมันเป็นตุ่มตามผิวผลทั่วไป ผิวผลเมื่อแก่จัด มีสีเขียวอมเหลือง แต่ส้มที่ปลูกในเขตที่มีอากาศเย็นผิวผลจะมีสีเหลืองเปลือกบาง ล่อนกลีบแยก จากกันได้ง่ายมีประมาณ 11 กลีบ ผนังกลีบบาง ถุงน้ำหวานมีขนาดสั้น ฉ่ำน้ำ เนื้อมีสีส้ม
1. การช่วยบรรเทาอาการกระหาย 2. ช่วยป้องกันการติดเชื้อจากแบคทีเรีย 3. ป้องกันไม่ให้เกิดอาการของโรคไข้หวัด 4. ช่วยลดปริมาณของคอเลสเตอรอลในโลหิต 5. ช่วยทำให้ระบบการย่อยอาหารภายในร่างกายเป็นไปอย่างปกติ
แหล่งที่ปลูกสับปะรดในไทย เนื่องจากความทนทาน ทำให้ปลูกได้ในดินแทบทุกแห่งในประเทศไทย แหล่งปลูกสับปะรดที่สำคัญของไทยอยู่ในพื้นที่ใกล้ทะเล ได้แก่ • จังหวัดอุตรดิตถ์ • จังหวัดลำปาง • จังหวัดพิษณุโลก • จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ • จังหวัดเพชรบุรี • จังหวัดชลบุรี • จังหวัดระยอง • จังหวัดฉะเชิงเทรา • จังหวัดจันทบุรี • จังหวัดตราด • และจังหวัดต่าง ๆ ในภาคใต้ เช่น ภูเก็ต พังงา ชุมพร ฤดูกาลของสับปะรด • ช่วงเก็บเกี่ยวในฤดู ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน - มกราคม และกลางเดือนเมษายน - กรกฎาคม สับปะรดจะให้ผลผลิตมาก ในตลาดมีราคาถูก ช่วงเก็บเกี่ยวนอกฤดู ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ - ต้นเดือนเมษายน และเดือนสิงหาคม - ตุลาคม สับปะรดจะให้ผลผลิตน้อย ราคาแพง
เฉลี่ย 3,616 กิโลกรัมต่อไร่
ราก : เป็นระบบรากฝอย ลำต้น : ลำต้นคล้ายกระบอง ยาวประมาณ 20-25 ซม. ข้อและปล้องของลำต้นเกิดจากรอยกาบแผ่นใบที่หลุดออกไป ใบ : เรียงตัวหนาแน่นและเป็นระเบียบ การเรียงตัวของใบจะหมุนวนเป็นเกลียว ใบเป็นแผ่นเรียวเล็กจากส่วนโคนไปหาส่วนปลาย ปลายใบมีหนามแหลมค่อนข้างแข็ง ขอบใบสองข้างยกขึ้นทำให้แผ่นใบมีลักษณะเป็นร่องคล้ายรางน้ำ ผิวใบด้านหลังเรียบเป็นมันเนื่องจากมีสารพวกไขเคลือบอยู่ ดอก : เป็นช่อในตำแหน่งส่วนยอดของลำต้น โดยก้านช่อดอกยืดยาวออกส่งให้ช่อดอกโผลขึ้นมาเหนือใบยอด แต่ละช่อดอกมีดอกย่อย 100-200 ดอก ดกอย่อยแต่ละดอกเป็นดอกสมบูรณ์เพศ ผล : เป็นผลรวม (multiple fruit) เกิดจากผลย่อยแต่ละผลเชื่อมกับแกนของผลรวม ส่วนฐานของผลย่อยจะเชื่อมติดต่อกันทุกผล ลักษณะผลเป็นรูปกรวยกว้างโดยที่โคนผลจะมีขนาดโตกว่าส่วนปลายผล
ราก : เป็นระบบรากฝอย ลำต้น : ลำต้นคล้ายกระบอง ยาวประมาณ 20-25 ซม. ข้อและปล้องของลำต้นเกิดจากรอยกาบแผ่นใบที่หลุดออกไป ใบ : เรียงตัวหนาแน่นและเป็นระเบียบ การเรียงตัวของใบจะหมุนวนเป็นเกลียว ใบเป็นแผ่นเรียวเล็กจากส่วนโคนไปหาส่วนปลาย ปลายใบมีหนามแหลมค่อนข้างแข็ง ขอบใบสองข้างยกขึ้นทำให้แผ่นใบมีลักษณะเป็นร่องคล้ายรางน้ำ ผิวใบด้านหลังเรียบเป็นมันเนื่องจากมีสารพวกไขเคลือบอยู่ ดอก : เป็นช่อในตำแหน่งส่วนยอดของลำต้น โดยก้านช่อดอกยืดยาวออกส่งให้ช่อดอกโผลขึ้นมาเหนือใบยอด แต่ละช่อดอกมีดอกย่อย 100-200 ดอก ดกอย่อยแต่ละดอกเป็นดอกสมบูรณ์เพศ ผล : เป็นผลรวม (multiple fruit) เกิดจากผลย่อยแต่ละผลเชื่อมกับแกนของผลรวม ส่วนฐานของผลย่อยจะเชื่อมติดต่อกันทุกผล ลักษณะผลเป็นรูปกรวยกว้างโดยที่โคนผลจะมีขนาดโตกว่าส่วนปลายผล
1. ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายให้แข็งแรง 2. ช่วยลดอัตราความเสี่ยงจากการเกิดโรคมะเร็ง 3. ช่วยบรรเทาและรักษาอาการหวัดได้ 4. ช่วยให้เลือดลมไหลเวียนได้ดีมากขึ้น 5. ช่วยให้สุขภาพในช่องปากแข็งแรง ป้องกันไม่ให้เกิดโรคเหงือก 6. ช่วยบรรเทาอาการร้อน กระสับกระส่าย หิวน้ำ 7. ช่วยแก้อาการท้องผูก ขับถ่ายไม่สะดวก 8. ช่วยในการย่อยอาหารจำพวกโปรตีน 9. ช่วยลดเสมหะในลำคอได้ 10. ช่วยในการขับปัสสาวะ ปัสสาวะไม่ออก 11. ช่วยรักษาโรคนิ่ว 12. ช่วยรักษาโรคไตอักเสบ 13. ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง 14. ช่วยรักษาโรคหลอดลมอักเสบ 15. ช่วยบรรเทาอาการของโรคบิด 16. เชื่อว่าช่วยรักษาและบรรเทาอาการของโรคนิ้วล็อก (Trigger finger) 17. ช่วยรักษาอาการบวมน้ำ 18. ช่วยรักษาอาการแผลเป็นหนอง 19. ช่วยแก้ปัญหาส้นเท้าแตก 20. ช่วยลดการอักเสบจากบาดแผล 21. เป็นยารักษาโรคผิวหนัง 22. ใบสด นำมาใช้เป็นยาถ่ายหรือยาฆ่าพยาธิได้ 23. ผลดิบสามารถนำมาใช้ห้ามเลือดได้ 24. ผลดิบสับปะรดช่วยขับประจําเดือน 25. ส่วนของรากสับปะรดนำมาใช้เป็นยาแก้กระษัย บำรุงไตได้ 26. หนามของสับปะรดช่วยแก้พิษฝีต่าง ๆ ได้
พื้นที่ปลูก เสาวรสสามารถปลูกได้ในหลายพื้นที่ โดยพันธุ์สีม่วงสามารถปลูกและเจริญเติบโตได้ดีบนที่สูงจากระดับน้ำทะเล 1,000 เมตร ส่วนพันธุ์สีเหลืองจะเจริญได้ดีในที่ราบต่ำ ในเขตที่ฝนตกชุก เสาวรสจะติดผลไม่ดีนัก เนื่องจากละอองเกสรจะถูกทำลายโดยน้ำฝน พื้นที่ปลูกควรมีแสงแดดจัด ช่วงฤดูฝนจะให้ดอกดกมาก
ประมาณ 3000 กิโลกรัมต่อไร่
ลำต้น เสาวรส เป็นไม้เลื้อยขนาดใหญ่ มีอายุประมาณ 4-5 ปี มีลำต้นเป็นเถาคล้ายกับกะทกรกไทย เถาแตกกิ่ง และมีหนามขนาดเล็กขึ้นปกคลุมห่างๆ เถาแตกมือเกาะบริเวณซอกใบ ใบ ใบเสาวรสแทงออกเป็นใบเดี่ยว เรียงสลับกันบนเถา แผ่นใบมีสีเขียว แยกเป็น 3 แฉก ปลายแฉกแหลม แผ่นใบค่อนข้างหนา สากมือและกรอบ ดอก ดอกเสาวรสจัดเป็นดอกสมบูรณ์เพศ สามารถผสมเกสรด้วยตนเองได้ดี ตัวดอกแทงออกเป็นดอกเดี่ยว ดอกแทงออกบริเวณซอกใบตามเถา ประกอบด้วยกลีบเลี้ยง ด้านนอกกลีบเลี้ยงมีสีเขียว ด้านในมีสีขาว และกลีบดอกสีครีมอมม่วง 5 กลีบ กลีบดอกเรียงสลับเป็น 2 ชั้น ถัดมาด้านในมีฝอยเป็นเส้นล้อมเป็นวงกลมจำนวนมาก โคนฝอยมีสีม่วง ปลายฝอยมีสีขาว ตรงกลางดอกมีเกสรตัวผู้ 5 อัน ส่วนเกสรตัวเมียมีปลายแยกเป็น 3 แฉก เมื่อบานจะส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ผล ผลเสาวรสออกเป็นผลเดี่ยว ผลมีรูปทรงกลมหรือรูปไข่ และอวบน้ำ ขนาดผลประมาณ 5-7 เซนติเมตร มีน้ำหนักผลประมาณ 35-115 กรัม ขึ้นอยู่กับขนาดผล ส่วนสีเปลือกแตกต่างกันตามสายพันธุ์ อาทิ พันธุ์สีม่วงจะมีเปลือกสีม่วงเข้ม ส่วนพันธุ์สีเหลืองจะมีเปลือกสีเหลืองสด เปลือกผลทุกพันธุ์ค่อนข้างหนา และ เป็นมัน ภายในผลประกอบด้วยเมล็ดจำนวนมาก เมล็ด เมล็ดเสาวรสมีลักษณะเป็นรีรูปไข่ เมล็ดจะมีถุงคัพภะที่เป็นเนื้อเยื่อสีเหลืองอมส้ม และฉ่ำน้ำห่อหุ้มเมล็ดไว้ ส่วนเมล็ดด้านในมีสีดำ ทั้งนี้ เยื่อหุ้มเมล็ดจะให้รสเปรี้ยวจัด แต่บางพันธุ์ในปัจจุบันจะมีรสหวานมากกว่ารสเปรี้ยว และมีกลิ่นหอม เยื่อหุ้มเมล็ด และเมล็ดเป็นส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์ทำน้ำผลไม้บริโภค
ลำต้น เสาวรส เป็นไม้เลื้อยขนาดใหญ่ มีอายุประมาณ 4-5 ปี มีลำต้นเป็นเถาคล้ายกับกะทกรกไทย เถาแตกกิ่ง และมีหนามขนาดเล็กขึ้นปกคลุมห่างๆ เถาแตกมือเกาะบริเวณซอกใบ ใบ ใบเสาวรสแทงออกเป็นใบเดี่ยว เรียงสลับกันบนเถา แผ่นใบมีสีเขียว แยกเป็น 3 แฉก ปลายแฉกแหลม แผ่นใบค่อนข้างหนา สากมือและกรอบ ดอก ดอกเสาวรสจัดเป็นดอกสมบูรณ์เพศ สามารถผสมเกสรด้วยตนเองได้ดี ตัวดอกแทงออกเป็นดอกเดี่ยว ดอกแทงออกบริเวณซอกใบตามเถา ประกอบด้วยกลีบเลี้ยง ด้านนอกกลีบเลี้ยงมีสีเขียว ด้านในมีสีขาว และกลีบดอกสีครีมอมม่วง 5 กลีบ กลีบดอกเรียงสลับเป็น 2 ชั้น ถัดมาด้านในมีฝอยเป็นเส้นล้อมเป็นวงกลมจำนวนมาก โคนฝอยมีสีม่วง ปลายฝอยมีสีขาว ตรงกลางดอกมีเกสรตัวผู้ 5 อัน ส่วนเกสรตัวเมียมีปลายแยกเป็น 3 แฉก เมื่อบานจะส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ผล ผลเสาวรสออกเป็นผลเดี่ยว ผลมีรูปทรงกลมหรือรูปไข่ และอวบน้ำ ขนาดผลประมาณ 5-7 เซนติเมตร มีน้ำหนักผลประมาณ 35-115 กรัม ขึ้นอยู่กับขนาดผล ส่วนสีเปลือกแตกต่างกันตามสายพันธุ์ อาทิ พันธุ์สีม่วงจะมีเปลือกสีม่วงเข้ม ส่วนพันธุ์สีเหลืองจะมีเปลือกสีเหลืองสด เปลือกผลทุกพันธุ์ค่อนข้างหนา และ เป็นมัน ภายในผลประกอบด้วยเมล็ดจำนวนมาก เมล็ด เมล็ดเสาวรสมีลักษณะเป็นรีรูปไข่ เมล็ดจะมีถุงคัพภะที่เป็นเนื้อเยื่อสีเหลืองอมส้ม และฉ่ำน้ำห่อหุ้มเมล็ดไว้ ส่วนเมล็ดด้านในมีสีดำ ทั้งนี้ เยื่อหุ้มเมล็ดจะให้รสเปรี้ยวจัด แต่บางพันธุ์ในปัจจุบันจะมีรสหวานมากกว่ารสเปรี้ยว และมีกลิ่นหอม เยื่อหุ้มเมล็ด และเมล็ดเป็นส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์ทำน้ำผลไม้บริโภค
ต้านโรคมะเร็ง อาทิ มะเร็งทรวงอก และมะเร็งลำไส้ เสาวรสมีวิตามินซีสูง ช่วยต้านทานโรคหวัด และเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน เสาวรสมีสารประกอบฟีนอลิก ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ลดการเสื่อของเซลล์ ช่วยให้ผิวพรรณสดใส และแลดูอ่อนเยาว์ ช่วยขับปัสสาวะ ช่วยขับพยาธิ แก้โรคท้องเสีย ช่วยลดความดัน ป้องกันโรคต่างๆของวัยทอง
มะขามพบมากทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แพร่ น่าน ลำปาง เพชรบูรณ์ หนองคาย เลย นครพนม อุบลราชธานี
500 - 1000 กิโลกรัมต่อไร่
มะขามเป็นไม้ยืนต้น ที่มีเปลือกของลำต้นหนาและไม่เรียบ สีน้ำตาลอ่อนๆ กิ่งก้านแขนงต่างๆ แตกออกไปเป็นจำนวนมากแน่น ทำให้มองเห็นต้นเป็นทรงพุ่มกลม 10-20 เมตร ใบ มีลักษณะเป็นวงรีเล็กๆ ออกตามกิ่งก้านเป็นคู่ๆ อยู่ตรงข้ามกัน กั้นด้วยแกนลางใบ ยาวประมาณ 7-15 เซนติเมตร มีใบอยู่ 10-20 คู่ ใบกว้าง 0.5-0.8 เซนติเมตร ยาว 1-2 เซนติเมตร ออกรวมกันเป็นช่อยาว 2–16 เซนติเมตร ดอก ออกเป็นช่อกระจายตามด้านข้างของกิ่ง และตามปลายกิ่ง ช่อดอกยาว 5-15 เซนติเมตร ดอกมีขนาดเล็ก กลีบดอกสีเหลืองและมีจุดประสีแดง/ม่วงแดงอยู่กลางดอก ดอกย่อย 4-10 ดอก กลีบเลี้ยง 4 กลีบ ผล เป็นฝักยาว รูปร่างยาวตรง หรือโค้งแล้วแต่ชนิดพันธุ์ คอดเป็นข้อๆ ต่อกันตลอดฝัก ยาว 3-20 เซนติเมตร กว้าง 1 -2.5 เซนติเมตร ฝักอ่อนมีเปลือกสีเขียวอมเทา สีน้ำตาลเกรียม เนื้อในติดกับเปลือก เมื่อแก่ฝัก เปลือกหนาแข็ง แต่เปราะหักง่าย สีน้ำตาลอมเทา เนื้อในจะมีสีน้ำตาลนิ่มหุ้มเมล็ดอยู่ เนื้อมีรสเปรี้ยว หรือหวาน หรือทั้งเปรี้ยวและหวาน ในผลเดียว และฝักหนึ่งๆ จะมีเนื้อหุ้มเมล็ดอยู่ 3-12 เมล็ด เมื่อเมล็ดแก่จะแบนเป็นมัน และมีสีน้ำตาล
มะขามเป็นไม้ยืนต้น ที่มีเปลือกของลำต้นหนาและไม่เรียบ สีน้ำตาลอ่อนๆ กิ่งก้านแขนงต่างๆ แตกออกไปเป็นจำนวนมากแน่น ทำให้มองเห็นต้นเป็นทรงพุ่มกลม 10-20 เมตร ใบ มีลักษณะเป็นวงรีเล็กๆ ออกตามกิ่งก้านเป็นคู่ๆ อยู่ตรงข้ามกัน กั้นด้วยแกนลางใบ ยาวประมาณ 7-15 เซนติเมตร มีใบอยู่ 10-20 คู่ ใบกว้าง 0.5-0.8 เซนติเมตร ยาว 1-2 เซนติเมตร ออกรวมกันเป็นช่อยาว 2–16 เซนติเมตร ดอก ออกเป็นช่อกระจายตามด้านข้างของกิ่ง และตามปลายกิ่ง ช่อดอกยาว 5-15 เซนติเมตร ดอกมีขนาดเล็ก กลีบดอกสีเหลืองและมีจุดประสีแดง/ม่วงแดงอยู่กลางดอก ดอกย่อย 4-10 ดอก กลีบเลี้ยง 4 กลีบ ผล เป็นฝักยาว รูปร่างยาวตรง หรือโค้งแล้วแต่ชนิดพันธุ์ คอดเป็นข้อๆ ต่อกันตลอดฝัก ยาว 3-20 เซนติเมตร กว้าง 1 -2.5 เซนติเมตร ฝักอ่อนมีเปลือกสีเขียวอมเทา สีน้ำตาลเกรียม เนื้อในติดกับเปลือก เมื่อแก่ฝัก เปลือกหนาแข็ง แต่เปราะหักง่าย สีน้ำตาลอมเทา เนื้อในจะมีสีน้ำตาลนิ่มหุ้มเมล็ดอยู่ เนื้อมีรสเปรี้ยว หรือหวาน หรือทั้งเปรี้ยวและหวาน ในผลเดียว และฝักหนึ่งๆ จะมีเนื้อหุ้มเมล็ดอยู่ 3-12 เมล็ด เมื่อเมล็ดแก่จะแบนเป็นมัน และมีสีน้ำตาล
1. มะขามช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานโรคให้แก่ร่างกายด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระ 2. ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใสด้วยวิตามินซีจากมะขาม 3. ช่วยในการชะลอวัยและการเกิดริ้วรอยแห่งวัย 4. แคลเซียมจากมะขามจะช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง 5. มะขามมีธาตุเหล็ก ซึ่งมีส่วนช่วยในการสร้างเม็ดเลือด 6. ใช้ในการทำทรีตเม้นต์ด้วยการนำมาขัดตามซอกขาหนีบ รักแร้ ข้อพับ ซึ่งจะช่วยลดรอยคล้ำลงได้ 7. นำมะขามเปียกไปแช่น้ำ ลอกเอาใยออก นำมะขามมาถูตัวเบา ๆ ช่วยให้ผิวหนังชุ่มชื่นตลอดทั้งวัน และช่วยกำจัดแบคทีเรียได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย 8. ช่วยป้องกันการเกิดและช่วยรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน 9. มะขามมีวิตามินเอที่มีส่วนช่วยในการบำรุงและรักษาสายตา 10. แก้อาการท้องผูก 11. ช่วยถ่ายพยาธิตัวกลมในลำไส้ พยาธิไส้เดือน ด้วยการใช้เมล็ดมะขามมาคั่ว กะเทาะเปลือกออก นำเนื้อในเมล็ดมาแช่น้ำเกลือจนนิ่ม แล้วรับประทานครั้งละ 20 เม็ด 12. ช่วยขับเสมหะ ละลายเสมหะ 13. มะขามอุดมไปด้วยกรดอินทรีย์ ซึ่งมีคุณสมบัติในการช่วยชำระล้างความสกปรกในรูขุมขนและขจัดคราบมันบนผิวหนังได้เป็นอย่างดี 14. ฝักดิบของมะขามใช้ในการฟอกโลหิต 15. ฝักดิบของมะขามใช้ในการลดความอ้วน เป็นยาระบาย ลดอุณหภูมิในร่างกาย
ปลูกในพื้นที่นาชลประทาน พื้นที่ที่มีน้ำท่วมขังเป็นเวลานาน หรือพื้นที่ที่เกษตรกรมีเวลาทำนาน้อยกว่าพื้นที่ปลูกข้าวอื่น ๆ รวมไปถึงในพื้นที่ที่มีปัญหาวัชพืชระบาดในนาข้าวก็เหมาะจะปลูกข้าว กข. 43 ด้วยเช่นกัน เนื่องจาก ข้าวกข. 43 เป็นพันธุ์ข้าวที่มีลักษณะเด่นอยู่ที่อายุการเก็บเกี่ยวสั้น เพียง 95 วันก็เก็บเกี่ยวได้ อีกทั้งข้าวกข43 ยังเป็นพันธุ์ข้าวที่มีความต้านทานต่อโรคใบไหม้และปัญหาเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลในระดับปานกลาง ในพื้นที่ที่มีปัญหาเพลี้ยกระโดดจึงสามารถปลูกข้าวกข43 ได้
ประมาณ 561 กิโลกรัมต่อไร่
เป็นข้าวเจ้าไม่ไวต่อช่วงแสง อายุเก็บเกี่ยวสั้น ประมาณ 95 วัน ปลูกโดยวิธีหว่านน้ำตม ความสูงประมาณ 103 ซม. ทรงกอตั้ง ต้นค่อนข้างแข็ง ใบสีเขียวจาง ใบธงตั้งปานกลาง ข้าวเปลือกสีฟาง น้ำหนักข้าวเปลือก 1,000 เมล็ด 30.35 กรัม ข้าวกล้องสีขาว ยาว 7.59 มิลลิเมตร รูปร่างเมล็ดยาวเรียว ท้องไข่น้อย มีปริมาณแอมิโลสต่ำ (18.82 %) คุณภาพของเมล็ดทางการหุงต้มรับประทาน ดี ข้าวสุก นุ่ม เหนียว มีกลิ่นหอมอ่อนๆ (ใกล้เคียงข้าวหอมดอกมะลิ 105 ) มีระยะพักตัว 5 สัปดาห์
เป็นข้าวเจ้าไม่ไวต่อช่วงแสง อายุเก็บเกี่ยวสั้น ประมาณ 95 วัน ปลูกโดยวิธีหว่านน้ำตม ความสูงประมาณ 103 ซม. ทรงกอตั้ง ต้นค่อนข้างแข็ง ใบสีเขียวจาง ใบธงตั้งปานกลาง ข้าวเปลือกสีฟาง น้ำหนักข้าวเปลือก 1,000 เมล็ด 30.35 กรัม ข้าวกล้องสีขาว ยาว 7.59 มิลลิเมตร รูปร่างเมล็ดยาวเรียว ท้องไข่น้อย มีปริมาณแอมิโลสต่ำ (18.82 %) คุณภาพของเมล็ดทางการหุงต้มรับประทาน ดี ข้าวสุก นุ่ม เหนียว มีกลิ่นหอมอ่อนๆ (ใกล้เคียงข้าวหอมดอกมะลิ 105 ) มีระยะพักตัว 5 สัปดาห์
ข้าวพันธุ์กข43 ถูกคัดเลือกจากการผสมข้ามพันธุ์ลูกผสมเดี่ยวระหว่างพันธุ์ข้าวเจ้าหอมสุพรรณบุรี(พันธุ์แม่) กับพันธุ์สุพรรณบุรี1 (พันธุ์พ่อ) ที่ศูนย์วิจัยข้าวสุพรรณบุรี ในฤดูนาปรัง พ.ศ. 2542 คัดเลือกได้สายพันธุ์ SPR99007-22-1-2-2-1 ปลูกทดสอบผลผลิตในศูนย์วิจัยข้าวและในนาเกษตรกรตั้งแต่ปี 2546 จนถึงปี 2551 มีการรับรองพันธุ์ คณะกรรมการพิจารณาพันธุ์ กรมการข้าว พิจารณารับรองพันธุ์เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2552 ใช้ชื่อว่า ข้าวเจ้า กข-43
ลักษณะของเห็ดโคนน้อยมี หมวกดอก เมื่อดอกเห็ดเจริญเต็มที่จะคล้ายร่มพับ ปลายแหลมมน ผิวมีสีน้ำตาลอ่อน ไปจนกระทั่งขาวตรงปลายหมวกดอก มีขนาดตั้งแต่ 0.5-1.5 เซนติเมตร ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ความแข็งแรงของดอกเห็ดและสภาพแวดล้อม เมื่อดอกเห็ดแก่ หมวกดอกจะบาง สีคล้ำ หมวกดอกจะกางออก จนกระทั่งแก่เต็มที่หมวกดอกจะบางมาก สร้างสปอร์สีเทาเยิ้ม จนกระทั่งเปลี่ยนเป็นสีดำและเน่าเละไปในที่สุด ครีบ คือส่วนที่อยู่ใต้หมวกดอก มีลักษณะเป็นแผ่นเล็กๆ เรียงกันเป็นรัศมีจากจุดใกล้ก้านดอก ดอกเห็ดที่สมบูรณ์จะมีจำนวนครีบประมาณ 100-150 ครีบ โดยมีระยะห่างประมาณ 0.2 มิลลิเมตร สีของครีบจะเปลี่ยนจากสีขาวในขณะที่ยังเล็กจนถึงกึ่งบาน ไปเป็นสีดำจากข้างล่างสุดของหมวกดอก ด้านนอกสุดของครีบ และลามไปสู่ปลายยอดในที่สุด ก้านดอก คือส่วนที่ชูหมวกดอก เชื่อมอยู่ระหว่างส่วนฐานและตรงกลางหมวกของดอกเห็ด มีการเรียงตัวของเส้นใยเป็นแบบขนานกับความยาวของก้านดอก มีสีขาว ลักษณะก้านดอกเรียวตรง ส่วนตรงโคนฐานโตกว่าเล็กน้อย ก้านจะสูงชะลูดอย่างรวดเร็ว เมื่อหมวกดอกเริ่มบาน ภายในกลวง บอบบาง หักหรือล้มง่าย ขนาดของก้านจะโตอยู่ระหว่าง 0.2-0.5 เซนติเมตร ไม่มีวงแหวนหุ้ม ส่วนความยาว เมื่อแก่เต็มที่ อาจจะยาวเกิน 12-15 เซนติเมตร
ลักษณะของเห็ดโคนน้อยมี หมวกดอก เมื่อดอกเห็ดเจริญเต็มที่จะคล้ายร่มพับ ปลายแหลมมน ผิวมีสีน้ำตาลอ่อน ไปจนกระทั่งขาวตรงปลายหมวกดอก มีขนาดตั้งแต่ 0.5-1.5 เซนติเมตร ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ความแข็งแรงของดอกเห็ดและสภาพแวดล้อม เมื่อดอกเห็ดแก่ หมวกดอกจะบาง สีคล้ำ หมวกดอกจะกางออก จนกระทั่งแก่เต็มที่หมวกดอกจะบางมาก สร้างสปอร์สีเทาเยิ้ม จนกระทั่งเปลี่ยนเป็นสีดำและเน่าเละไปในที่สุด ครีบ คือส่วนที่อยู่ใต้หมวกดอก มีลักษณะเป็นแผ่นเล็กๆ เรียงกันเป็นรัศมีจากจุดใกล้ก้านดอก ดอกเห็ดที่สมบูรณ์จะมีจำนวนครีบประมาณ 100-150 ครีบ โดยมีระยะห่างประมาณ 0.2 มิลลิเมตร สีของครีบจะเปลี่ยนจากสีขาวในขณะที่ยังเล็กจนถึงกึ่งบาน ไปเป็นสีดำจากข้างล่างสุดของหมวกดอก ด้านนอกสุดของครีบ และลามไปสู่ปลายยอดในที่สุด ก้านดอก คือส่วนที่ชูหมวกดอก เชื่อมอยู่ระหว่างส่วนฐานและตรงกลางหมวกของดอกเห็ด มีการเรียงตัวของเส้นใยเป็นแบบขนานกับความยาวของก้านดอก มีสีขาว ลักษณะก้านดอกเรียวตรง ส่วนตรงโคนฐานโตกว่าเล็กน้อย ก้านจะสูงชะลูดอย่างรวดเร็ว เมื่อหมวกดอกเริ่มบาน ภายในกลวง บอบบาง หักหรือล้มง่าย ขนาดของก้านจะโตอยู่ระหว่าง 0.2-0.5 เซนติเมตร ไม่มีวงแหวนหุ้ม ส่วนความยาว เมื่อแก่เต็มที่ อาจจะยาวเกิน 12-15 เซนติเมตร
1. เห็ดโคนช่วยให้เจริญอาหาร ซึ่งเป็นคำตอบของการมีสุขภาพดี เพราะจะกินอาหารอะไรก็รู้สึกอร่อยและถูกปาก ทำให้ร่างกายแข็งแรง มีพละกำลัง เปรียบเป็นยาบำรุงร่างกายที่ดี
2. เห็ดโคนช่วยบรรเทาอาการไอเรื้อรัง แก้เจ็บคอ ช่วยละลายและขับเสมหะที่เหนียวๆ และติดอยู่ในลำคอออกมาได้โดยง่าย และไม่ต้องอาศัยยาเม็ด ยาน้ำ หรือยาอมใดๆ ช่วยก็ได้
3. เห็ดโคนมีคุณสมบัติช่วยให้การทำงานของระบบย่อยอาหารมีประสิทธิภาพ สามารถจะย่อยอาหารได้ดี ส่งผลให้ร่างกายสามารถจะนำสารอาหารต่างๆ ไปใช้งานได้ง่ายขึ้น
4. เห็ดโคนมีวิตามินซีที่สูง ซึ่งมีประโยชน์ในการช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อทุกส่วนของร่างกายที่อ่อนแอให้กลับมาแข็งแรง และยังช่วยชะลอความเสื่อมของร่างกายด้วย
5. เห็ดโคนมีประโยชน์ต่อการรักษาแผลเป็นหรือแผลต่างๆ อาทิ แผลไฟไหม้ แผลสด ให้หายได้เร็วขึ้น
6. เห็ดโคนอุดมไปด้วยวิตามินบี 1 หรือไทอะมีน ซึ่งมีประโยชน์ต่อระบบประสาทและบำรุงสมอง ทำให้ความคิดความจำดีขึ้น รวมทั้งช่วยบำรุงกล้ามเนื้อและหัวใจให้ทำงานเป็นปกติ
7. เห็ดโคนยังเป็นแหล่งวิตามินบี 2 หรือไรโบฟลาวินอีกด้วย ซึ่งเป็นวิตามินที่ร่างกายควรได้รับอย่างสม่ำเสมอ มีสรรพคุณช่วยในกระบวนการเสริมสร้างการเจริญเติบโตของร่างกาย มีประโยชน์ต่อระบบสืบพันธุ์
8. เห็ดโคนช่วยยับยั้งเชื้อโรคบางชนิดได้ เห็ดโคนที่ถูกนำมาทดลองในทางเภสัชศาสตร์พบว่า น้ำสกัดจากเห็ดโคนนั้นสามารถช่วยยับยั้งการแพร่กระจายของเชื้อโรคบางชนิดได้ เช่น เชื้อไทฟอยด์หรือไข้รากสาดน้อย ฯลฯ ไม่ให้เข้าสู่ร่างกาย
9. เห็ดโคนเป็นอาหารที่ให้คุณค่าทางโภชนาการสูง เพราะเป็นทั้งแหล่งโปรตีนที่ดี ปราศจากไขมัน มีน้ำตาลและเกลือค่อนข้างต่ำ และมีเส้นใยอาหารอยู่สูง
ทุกภาค ปลูกได้ตลอดทั้งปี
100-120 ผล/ปี
ราก และลำต้น ฟักข้าว เป็นไม้เลื้อยล้มลุกที่มีอายุนานหลายปี มีลำต้นเป็นไม้เถาเลื้อย เถามีลักษณะเป็นเหลี่ยม ยาวได้มากถึง 20 เมตร เถาแตกมือเกาะออกตามข้อ โดยมือเกาะเป็นเส้นเดี่ยว ไม่แตกแขนง มือเกาะใช้สำหรับเกาะพันยึดกับวัสดุหรือต้นไม้อื่น ใบ ใบฟักข้าว เป็นใบเดี่ยว เรียงออกสลับกันตามกิ่ง และลำต้น ใบมีก้านใบยาว 5-8 เซนติเมตร ใบมีลักษณะเป็นรูปหัวใจ ยาวประมาณ 6-15 เซนติเมตร ใบมีสีเขียวเข้ม แผ่นใบเป็นลูกคลื่นตามร่องของเส้นแขนงบนใบ ขอบใบเว้าหยัก 3-5 แฉก และมีเส้นแขนงกลางใบของแต่ละแฉก โดย 2 แฉกแรกที่อยู่บริเวณโคนใบ ซ้าย-ขวา จะเป็นแฉกสั้นๆ และอีก 2 แฉกถัดมา ซ้าย-ขวา จะเป็นแฉกยาวที่มีขนาดใกล้เคียงกัน ส่วนแฉกตรงกลางที่เป็นแฉกเดี่ยวจะมีขนาดยาวที่สุด ดอก ดอกฟักข้าวเป็นดอกเดี่ยว แทงออกตาข้อบริเวณซอกใบ เรียงลำดับในทางเดียวกัน ดอกฟักข้าวเป็นดอกแยกเพศ อยู่คนละต้นกัน ดอกตูมมีลักษณะคล้ายหอยแครงในลักษณะหงายขึ้น ซึ่งจะหุ้มด้วยกลีบรองดอกสีเขียว มีขนสีขาวนวลหรือเหลืองปกคลุม และมีลายเส้นชัดเจน ตรงกลางดอกมีสีน้ำตาลแกมม่วง ดอกฟักข้าวเมื่อบานจะประกอบด้วยกลีบดอก 5 กลีบ กลีบดอกมีสีเหลือง โดยดอกเพศผู้จะมีกลีบดอกใหญ่ และยาวกว่าดอกเพศเมีย รวมถึงปลายกลีบดอกแหลมกว่า ดอกเพศผู้มีก้านดอกยาว 5-15 เซนติเมตร มีเกสร 3 อัน ดอกเพศเมียมีก้านดอกยาว 2-5 เซนติเมตร รังไข่มี 1 ช่อง มีท่อรังไข่เป็นแท่งยาว บริเวณปลายท่อรังไข่แยกเป็น 3 แฉก ผล และเมล็ด ผลฟักข้าวมีรูปทรงไข่รีหรือค่อนข้างกลม โดยเปลือกจะมีหนามจำนวนมาก แต่หนามไม่แข็งจนเป็นอันตรายมาก เปลือกผลดิบมีสีเขียว เมื่อสุกจะมีสีส้มอมเหลือง และสุกมากจะมีสีแดงสด ขนาดผลกว้างประมาณ 5-7 เซนติเมตร ยาวประมาณ 10-15 เซนติเมตร เปลือกหนาประมาณ 0.5 เซนติเมตร ภายในผลมีเมล็ดจำนวนมาก และมีเยื่อหุ้มเมล็ดสีแดงที่ฉ่ำน้ำ และให้รสหวาน เมล็ดมีลักษณะแบน สีน้ำตาล มีขอบเมล็ดหยัก มีผิวขรุขระ ขนาดเมล็ดประมาณ 1.8-2 เซนติเมตร
ราก และลำต้น ฟักข้าว เป็นไม้เลื้อยล้มลุกที่มีอายุนานหลายปี มีลำต้นเป็นไม้เถาเลื้อย เถามีลักษณะเป็นเหลี่ยม ยาวได้มากถึง 20 เมตร เถาแตกมือเกาะออกตามข้อ โดยมือเกาะเป็นเส้นเดี่ยว ไม่แตกแขนง มือเกาะใช้สำหรับเกาะพันยึดกับวัสดุหรือต้นไม้อื่น ใบ ใบฟักข้าว เป็นใบเดี่ยว เรียงออกสลับกันตามกิ่ง และลำต้น ใบมีก้านใบยาว 5-8 เซนติเมตร ใบมีลักษณะเป็นรูปหัวใจ ยาวประมาณ 6-15 เซนติเมตร ใบมีสีเขียวเข้ม แผ่นใบเป็นลูกคลื่นตามร่องของเส้นแขนงบนใบ ขอบใบเว้าหยัก 3-5 แฉก และมีเส้นแขนงกลางใบของแต่ละแฉก โดย 2 แฉกแรกที่อยู่บริเวณโคนใบ ซ้าย-ขวา จะเป็นแฉกสั้นๆ และอีก 2 แฉกถัดมา ซ้าย-ขวา จะเป็นแฉกยาวที่มีขนาดใกล้เคียงกัน ส่วนแฉกตรงกลางที่เป็นแฉกเดี่ยวจะมีขนาดยาวที่สุด ดอก ดอกฟักข้าวเป็นดอกเดี่ยว แทงออกตาข้อบริเวณซอกใบ เรียงลำดับในทางเดียวกัน ดอกฟักข้าวเป็นดอกแยกเพศ อยู่คนละต้นกัน ดอกตูมมีลักษณะคล้ายหอยแครงในลักษณะหงายขึ้น ซึ่งจะหุ้มด้วยกลีบรองดอกสีเขียว มีขนสีขาวนวลหรือเหลืองปกคลุม และมีลายเส้นชัดเจน ตรงกลางดอกมีสีน้ำตาลแกมม่วง ดอกฟักข้าวเมื่อบานจะประกอบด้วยกลีบดอก 5 กลีบ กลีบดอกมีสีเหลือง โดยดอกเพศผู้จะมีกลีบดอกใหญ่ และยาวกว่าดอกเพศเมีย รวมถึงปลายกลีบดอกแหลมกว่า ดอกเพศผู้มีก้านดอกยาว 5-15 เซนติเมตร มีเกสร 3 อัน ดอกเพศเมียมีก้านดอกยาว 2-5 เซนติเมตร รังไข่มี 1 ช่อง มีท่อรังไข่เป็นแท่งยาว บริเวณปลายท่อรังไข่แยกเป็น 3 แฉก ผล และเมล็ด ผลฟักข้าวมีรูปทรงไข่รีหรือค่อนข้างกลม โดยเปลือกจะมีหนามจำนวนมาก แต่หนามไม่แข็งจนเป็นอันตรายมาก เปลือกผลดิบมีสีเขียว เมื่อสุกจะมีสีส้มอมเหลือง และสุกมากจะมีสีแดงสด ขนาดผลกว้างประมาณ 5-7 เซนติเมตร ยาวประมาณ 10-15 เซนติเมตร เปลือกหนาประมาณ 0.5 เซนติเมตร ภายในผลมีเมล็ดจำนวนมาก และมีเยื่อหุ้มเมล็ดสีแดงที่ฉ่ำน้ำ และให้รสหวาน เมล็ดมีลักษณะแบน สีน้ำตาล มีขอบเมล็ดหยัก มีผิวขรุขระ ขนาดเมล็ดประมาณ 1.8-2 เซนติเมตร
ผลและเมล็ดต้านมะเร็ง ป้องกันและรักษาโรคเบาหวาน แก้หูดหรือฝีมะม่วง รักษาโรคในปอด แก้ไอ แก้วัณโรค รักษาริดสีดวงทวาร เยื่อหุ้มเมล็ดนำมาขยำผสมน้ำ ก่อนใช้หุงข้าว ช่วยแก้โรคโลหิตจาง เมล็ดแห้งนำมาตำหรือบด ก่อนใช้ผสมน้ำมันจากพืช อาทิ น้ำมันงา น้ำมันมะพร้าว น้ำมันหอมระเหยจากดอกไม้ ก่อนใช้ทานวดกล้ามเนื้อ ช่วยลดอาการปวดเมื่อย อาการอักเสบ แก้อาการฟกช้ำ ยอดอ่อนและใบ แก้ริดสีดวง บำรุงเลือด บำรุงร่างกาย ช่วยแก้พิษไข้ พิษอักเสบ แก้อาการปวดบวม ใบนำมาตำผสมน้ำ ก่อนใช้ทาแผลแมลงกัดต่อย ช่วยลดอาการบวม ราก และลำต้น ใช้ถอนพิษ แก้พิษร้อน ถอนพิษสำแดง ช่วยขับเสมหะ แก้อาการปวดตามข้อ ลดข้ออักเสบ แก้ผมร่วง ใช้คุมกำเนิด แก้กระหายน้ำ ราก และลำต้นนำมาบดผสมกับน้ำมันพืช ก่อนใช้ขยำศรีษะสำหรับฆ่าเหา นำมาตำขยำน้ำ ใช้สำหรับสระผมแทนสบู่ นำมาตำผสมน้ำมันหรือน้ำเล็กน้อย ก่อนใช้ประคบรอยแผลสัตว์หรือแมลงกัดต่อย ช่วยแก้อาการบวม ลดอาการปวด และลดการอักเสบ
การปลูก มะละกอ ถ้าเก็บผลดิบสามารถเก็บได้หลังปลูกประมาณ 5-6 เดือน แต่ถ้าเก็บผลสุกหลังจากปลูกประมาณ 8-10 เดือน ถึงสามาถเก็บเกี่ยวได้ ให้เลือกเก็บเกี่ยวผลที่กำลังเริ่มสุกมีสีแต้มสีส้มปนเขียวนิดๆ ผลยังไม่นิ่ม
มะละกอฮอลแลนด์ 400-800 กิโลกรัมต่อการเก็บเกี่ยวหนึ่งครั้งต่อไร่
ไม้ล้มลุกอายุหลายปีขนาดใหญ่ อายุหลายปี สูง 2-8 ม. ลำต้นตั้งตรงมักไม่แตกกิ่ง ไม่มีแก่น ต้นอวบน้ำ มีรอยแผลเป็นของก้านใบที่หลุดร่วงไป มีน้ำยางสีขาวทั่วลำต้น ใบ ใบเรียงสลับรอบต้นบริเวณยอด ใบเดี่ยว รูปฝ่ามือกว้าง ยาว 25-60 ซม. โคนใบเว้า ปลายใบแหลม ขอบใบหยักเว้าเป็นแฉกลึก 7-11 แฉก และจักฟันเลื่อย ก้านใบยาว 25-90 ซม. เป็นท่อกลวงยาว ดอก ดอกช่อสีขาวนวล มีกลิ่นหอม ออกที่ซอกใบ มีทั้งดอกสมบูรณ์เพศและดอกแยกเพศ ดอกเพศผู้ออกเป็นช่อ ก้านช่อดอกยาว กลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดยาว 1.5-2.5 ซม. ปลายแยกเป็น 5 กลีบ เมื่อบานเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.5-2.5 ซม. เกสรเพศผู้มี 10 อัน ดอกเพศเมียและดอกสมบูรณ์เพศออกเดี่ยวหรือ 2-3 ดอก กลีบดอก 5 กลีบ ดอกมีขนาดใหญ่กว่าดอกเพศผู้ ผล ผลเป็นผลสดรูปยาวรี ปลายแหลม ผลดิบมีเนื้อสีขาวอมเขียว ผลสุกมีเนื้อสีแดงส้ม เนื้อหนาอ่อนนุ่ม รสหวาน มีเมล็ดมาก รูปไข่สีน้ำตาลดำ ผิวขรุขระ มีถุงเมือกหุ้ม
ไม้ล้มลุกอายุหลายปีขนาดใหญ่ อายุหลายปี สูง 2-8 ม. ลำต้นตั้งตรงมักไม่แตกกิ่ง ไม่มีแก่น ต้นอวบน้ำ มีรอยแผลเป็นของก้านใบที่หลุดร่วงไป มีน้ำยางสีขาวทั่วลำต้น ใบ ใบเรียงสลับรอบต้นบริเวณยอด ใบเดี่ยว รูปฝ่ามือกว้าง ยาว 25-60 ซม. โคนใบเว้า ปลายใบแหลม ขอบใบหยักเว้าเป็นแฉกลึก 7-11 แฉก และจักฟันเลื่อย ก้านใบยาว 25-90 ซม. เป็นท่อกลวงยาว ดอก ดอกช่อสีขาวนวล มีกลิ่นหอม ออกที่ซอกใบ มีทั้งดอกสมบูรณ์เพศและดอกแยกเพศ ดอกเพศผู้ออกเป็นช่อ ก้านช่อดอกยาว กลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดยาว 1.5-2.5 ซม. ปลายแยกเป็น 5 กลีบ เมื่อบานเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.5-2.5 ซม. เกสรเพศผู้มี 10 อัน ดอกเพศเมียและดอกสมบูรณ์เพศออกเดี่ยวหรือ 2-3 ดอก กลีบดอก 5 กลีบ ดอกมีขนาดใหญ่กว่าดอกเพศผู้ ผล ผลเป็นผลสดรูปยาวรี ปลายแหลม ผลดิบมีเนื้อสีขาวอมเขียว ผลสุกมีเนื้อสีแดงส้ม เนื้อหนาอ่อนนุ่ม รสหวาน มีเมล็ดมาก รูปไข่สีน้ำตาลดำ ผิวขรุขระ มีถุงเมือกหุ้ม
มีส่วนช่วยกระตุ้นให้มารดามีน้ำนมมากขึ้น มะละกอมีส่วนช่วยในการบำรุงประสาทและสมอง มะละกอมีเอนไซม์ที่เป็นยาช่วยย่อยอาหาร ช่วยป้องกันลักปิดลักเปิดหรือเลือดออกตามไรฟันได้ ช่วยรักษาอาการขัดเบา ด้วยการใช้รากสดประมาณ 1 กำมือ รากแห้งอีกครึ่งกำมือ หั่นแล้วนำมาต้มกับน้ำ แล้วนำน้ำมาดื่มวันละ 3 ครั้งก่อนมื้ออาหาร เป็นยาระบายอ่อน ๆ แก้อาการท้องผูก ด้วยการกินเนื้อมะละกอสุก ช่วยในการย่อยอาหาร ใช้ฆ่าพยาธิ ด้วยการใช้ยางจากผลดิบซึ่งเป็นยาช่วยย่อยโปรตีน ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ แก้ขัดเบา จากรากมะละกอ ช่วยป้องกันการเกิดโรคนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ
พื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับปลูกกาแฟควรเป็นพื้นที่ที่มีความสูง ประมาณ 800 ถึง 12,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล มีความลาดชันไม่เกิน 50 เปอร์เซ็นต์ ดินมีความอุดมสมบูรณ์ ชั้นดินลึกไม่น้อยกว่า 50 เซนติเมตร มีความเป็นกรดด่าง 5.5 ถึง 6.5 และสามารถระบายน้ำได้ดี ฤดูกาลที่กระเทียมเจริญเติบโด เริ่มปลูกในช่วงเดือนมิถุนายน ถึง กรกฎาคม อายุการเก็บเกี่ยว (ตั้งแต่ติดผล - ผลสุก) ประมาณ 9 เดือน
130 กิโลกรัมต่อไร่
ราก กาแฟมีรากแก้ว และมีรากแขนงแตกออกจากรากแก้ว ประมาณ 4 ถึง 8 ราก รากแขนงจะมีรากฝอย และจากรากฝอยจะมีรากแตกออกมาอีกเป็นรากสำหรับดูดอาหาร รากชนิดนี้มีจำนวนประมาณ 60 ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ จะแผ่กระจายในระดับผิวดินลึก ประมาณ 20 เซนติเมตร ลำต้นและกิ่ง ลำต้น (Main Stem) เป็นลำต้นเจริญเติบโตมาจากรากแก้ว มีลักษณะเป็นข้อและปล้อง ในขณะที่กาแฟต้นยังมีขนาดเล็กจะเห็นได้ชัด โดยใบจะอยู่ตามข้อของลำต้น เมื่อต้นโตขึ้นใบจะร่วงหล่นไป และโคนใบของกาแฟมีตา 2 ชนิด คือ ตาบนและตาล่าง ตาบนจะแตกกิ่งออกมาเป็นกิ่งแขนงที่ 1 (Primary Branch) เป็นกิ่งลักษณะเป็นกิ่งนอนขนานกับพื้นดินมีข้อและปล้อง แต่ละข้อของกิ่งแขนงนี้จะมีกลุ่มตาดอกที่จะติดดอกเป็นผลกาแฟต่อไป ส่วนตาล่างจะแตกออกเป็นกิ่งตั้ง (Sucker) กิ่งตั้งจะตั้งตรงขึ้นไปเหมือนลำต้น ไม่ติดดอกผล แต่สามารถสร้างกิ่งแขนงที่สามารถให้ดอกผล เรียกเป็นกิ่งแขนงที่ 1 เช่นกัน กิ่งแขนงที่ 1 สามารถแตกกิ่งแขนงต่อไปได้อีกเป็นกิ่งแขนงที่ 2 และกิ่งแขนงที่ 2 สามารถแตกเป็นกิ่งแขนงที่ 3 ได้อีก กิ่งแขนงเหล่านี้จะเกิดในลักษณะเป็นคู่สลับเยื้องกันบนลำต้นหรือกิ่งตั้ง เมื่อมีการตัดลำต้นกาแฟ ตาล่างบนลำต้นจะแตกกิ่งตั้งขึ้นมา กิ่งตั้งจะแตกเป็นกิ่งแขนงที่ 1 กิ่งที่ 2 และ 3 จากนั้นมีการสร้างดอกและผลกาแฟอีกต่อไป ใบ ลักษณะเป็นใบเดี่ยว ก้านใบสั้น โคนใบและปลายใบเรียวแหลม ตรงกลางใบกว้าง ผิวใบเรียบ นุ่มเป็นมัน ขอบใบหยักเป็นคลื่น ขนาดของใบขึ้นกับพันธุ์กาแฟ ใบจะเกิดที่ข้อเป็นคู่ตรงข้ามกัน ส่วนปากใบอยู่ด้านท้องใบ แต่ละใบจะมีปากใบประมาณ 3 ล้านถึง 6 ล้านรู ปากใบของกาแฟโรบัสต้ามีขนาดเล็กกว่าปากใบของกาแฟอาราบิก้า แต่มีจำนวนมากกว่า อายุใบประมาณ 250 วัน ช่อดอกและดอก ดอก ปกติดอกกาแฟจะมีลักษณะเป็นดอกเดี่ยวสมบูรณ์เพศ มีกลีบดอก จำนวน 4 ถึง 9 กลีบ กลีบเลี้ยง จำนวน 4 ถึง 5 ใบ มีเกสร 5 อัน รังไข่ 2 ห้อง แต่ละห้องของรังไข่จะมีไข่ 1 ใบ ผลกาแฟจึงมี 2 เมล็ด ดอกกาแฟจะออกเป็นกลุ่มๆ บริเวณโคนใบบน ข้อของกิ่งแขนงที่ 1 แขนงที่ 2 หรือ 3 กลุ่มดอกแต่ละข้อมีดอก จำนวน 2 ถึง 20 ดอก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของต้นตา ดอกจะออกจากกิ่งแขนงจากข้อที่อยู่ใกล้ลำต้นออกไปหาปลายกิ่งแขนง ปกติกาแฟจะออกดอกตามข้อของกิ่ง ข้อที่ออกดอกผลแล้วในปีต่อไปจะไม่ออกดอกและให้ผลอีก ผลและเมล็ด ผล ผลของกาแฟมีลักษณะคล้ายลูกหว้า รูปรี ก้านผลสั้น ผลดิบสีเขียว เมื่อเวลาผลสุกจะมีสีเหลือง สีส้ม สีแดง ผลของกาแฟจะแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ 1. เปลือก (Skin) 2. เนื้อ (Pulp) มีสีเหลือง เมื่อสุกมีรสหวาน 3. กะลา (Parchment) จะห่อหุ้มเมล็ด ช่วงระหว่างเมล็ดกับกะลาจะมีเยื่อบางๆ หุ้มเมล็ดอยู่เรียกว่า เยื่อหุ้มเมล็ด (Silver Skin) ผลกาแฟแต่ละผลจะมี 2 เมล็ดประกบกัน ด้านที่ประกบกันจะอยู่ด้านในมีลักษณะแบน มีร่องบริเวณกลางเมล็ด 1 ร่อง ส่วนด้านนอกมีลักษณะโค้ง ลักษณะเมล็ดจะเป็นเดี่ยวหรือเมล็ดโทน (Pea Bean, Pea Berry) ในบางครั้งหากการผสมเกสรไม่สมบูรณ์ จะทำให้ผลติดเมล็ดเพียงเมล็ดเดียว ผลกาแฟมีเมล็ดเพียงเมล็ดเดียวรูปร่างกลมรีทั้งเมล็ด โดยมีร่องบริเวณกลางเม็ด 1 ร่อง
ราก กาแฟมีรากแก้ว และมีรากแขนงแตกออกจากรากแก้ว ประมาณ 4 ถึง 8 ราก รากแขนงจะมีรากฝอย และจากรากฝอยจะมีรากแตกออกมาอีกเป็นรากสำหรับดูดอาหาร รากชนิดนี้มีจำนวนประมาณ 60 ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ จะแผ่กระจายในระดับผิวดินลึก ประมาณ 20 เซนติเมตร ลำต้นและกิ่ง ลำต้น (Main Stem) เป็นลำต้นเจริญเติบโตมาจากรากแก้ว มีลักษณะเป็นข้อและปล้อง ในขณะที่กาแฟต้นยังมีขนาดเล็กจะเห็นได้ชัด โดยใบจะอยู่ตามข้อของลำต้น เมื่อต้นโตขึ้นใบจะร่วงหล่นไป และโคนใบของกาแฟมีตา 2 ชนิด คือ ตาบนและตาล่าง ตาบนจะแตกกิ่งออกมาเป็นกิ่งแขนงที่ 1 (Primary Branch) เป็นกิ่งลักษณะเป็นกิ่งนอนขนานกับพื้นดินมีข้อและปล้อง แต่ละข้อของกิ่งแขนงนี้จะมีกลุ่มตาดอกที่จะติดดอกเป็นผลกาแฟต่อไป ส่วนตาล่างจะแตกออกเป็นกิ่งตั้ง (Sucker) กิ่งตั้งจะตั้งตรงขึ้นไปเหมือนลำต้น ไม่ติดดอกผล แต่สามารถสร้างกิ่งแขนงที่สามารถให้ดอกผล เรียกเป็นกิ่งแขนงที่ 1 เช่นกัน กิ่งแขนงที่ 1 สามารถแตกกิ่งแขนงต่อไปได้อีกเป็นกิ่งแขนงที่ 2 และกิ่งแขนงที่ 2 สามารถแตกเป็นกิ่งแขนงที่ 3 ได้อีก กิ่งแขนงเหล่านี้จะเกิดในลักษณะเป็นคู่สลับเยื้องกันบนลำต้นหรือกิ่งตั้ง เมื่อมีการตัดลำต้นกาแฟ ตาล่างบนลำต้นจะแตกกิ่งตั้งขึ้นมา กิ่งตั้งจะแตกเป็นกิ่งแขนงที่ 1 กิ่งที่ 2 และ 3 จากนั้นมีการสร้างดอกและผลกาแฟอีกต่อไป ใบ ลักษณะเป็นใบเดี่ยว ก้านใบสั้น โคนใบและปลายใบเรียวแหลม ตรงกลางใบกว้าง ผิวใบเรียบ นุ่มเป็นมัน ขอบใบหยักเป็นคลื่น ขนาดของใบขึ้นกับพันธุ์กาแฟ ใบจะเกิดที่ข้อเป็นคู่ตรงข้ามกัน ส่วนปากใบอยู่ด้านท้องใบ แต่ละใบจะมีปากใบประมาณ 3 ล้านถึง 6 ล้านรู ปากใบของกาแฟโรบัสต้ามีขนาดเล็กกว่าปากใบของกาแฟอาราบิก้า แต่มีจำนวนมากกว่า อายุใบประมาณ 250 วัน ช่อดอกและดอก ดอก ปกติดอกกาแฟจะมีลักษณะเป็นดอกเดี่ยวสมบูรณ์เพศ มีกลีบดอก จำนวน 4 ถึง 9 กลีบ กลีบเลี้ยง จำนวน 4 ถึง 5 ใบ มีเกสร 5 อัน รังไข่ 2 ห้อง แต่ละห้องของรังไข่จะมีไข่ 1 ใบ ผลกาแฟจึงมี 2 เมล็ด ดอกกาแฟจะออกเป็นกลุ่มๆ บริเวณโคนใบบน ข้อของกิ่งแขนงที่ 1 แขนงที่ 2 หรือ 3 กลุ่มดอกแต่ละข้อมีดอก จำนวน 2 ถึง 20 ดอก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของต้นตา ดอกจะออกจากกิ่งแขนงจากข้อที่อยู่ใกล้ลำต้นออกไปหาปลายกิ่งแขนง ปกติกาแฟจะออกดอกตามข้อของกิ่ง ข้อที่ออกดอกผลแล้วในปีต่อไปจะไม่ออกดอกและให้ผลอีก ผลและเมล็ด ผล ผลของกาแฟมีลักษณะคล้ายลูกหว้า รูปรี ก้านผลสั้น ผลดิบสีเขียว เมื่อเวลาผลสุกจะมีสีเหลือง สีส้ม สีแดง ผลของกาแฟจะแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ 1. เปลือก (Skin) 2. เนื้อ (Pulp) มีสีเหลือง เมื่อสุกมีรสหวาน 3. กะลา (Parchment) จะห่อหุ้มเมล็ด ช่วงระหว่างเมล็ดกับกะลาจะมีเยื่อบางๆ หุ้มเมล็ดอยู่เรียกว่า เยื่อหุ้มเมล็ด (Silver Skin) ผลกาแฟแต่ละผลจะมี 2 เมล็ดประกบกัน ด้านที่ประกบกันจะอยู่ด้านในมีลักษณะแบน มีร่องบริเวณกลางเมล็ด 1 ร่อง ส่วนด้านนอกมีลักษณะโค้ง ลักษณะเมล็ดจะเป็นเดี่ยวหรือเมล็ดโทน (Pea Bean, Pea Berry) ในบางครั้งหากการผสมเกสรไม่สมบูรณ์ จะทำให้ผลติดเมล็ดเพียงเมล็ดเดียว ผลกาแฟมีเมล็ดเพียงเมล็ดเดียวรูปร่างกลมรีทั้งเมล็ด โดยมีร่องบริเวณกลางเม็ด 1 ร่อง
1. มีสารกาเฟอีนที่มีฤทธิ์กระตุ้นหัวใจและกระตุ้นประสาทส่วนกลาง ทำให้ตาแข็ง นอนไม่หลับ ทำให้ร่างกายสดชื่น ขจัดความเซื่องซึมและอ่อนล้าได้
2. ช่วยลดความเสี่ยงของโรคอัลไซเมอร์ โดยมีงานวิจัยของมหาวิทยาลัยเซาท์ฟลอริดา ที่เปิดเผยว่าผู้ที่มีอายุล่วงเข้าสู่วัยกลางคน ควรดื่มกาแฟวันละ 4-5 แก้ว เพื่อช่วยเพิ่มระดับฮอร์โมน GCSF เนื่องจากฮอร์โมนชนิดนี้สามารถช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้ ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษากับคนวัยกลางคนในประเทศฟินแลนด์จำนวน 1,400 คน ที่พบว่าคนที่ดื่มกาแฟวันละ 5 ถ้วยต่อวัน สามารถลดอัตราเสี่ยงของการเป็นโรคอัลไซเมอร์ได้ถึง 65%
3. ช่วยแก้อาการปวดศีรษะ มีฤทธิ์ขยายหลอดเลือด จึงช่วยระงับอาการปวดได้เช่นเดียวกับยาแก้ปวด อีกทั้งกาแฟยังช่วยละลายไขมันในเส้นเลือด บรรเทาอาการปวดศีรษะเนื่องจากการเมาสุรา อาการปวดศีรษะเนื่องจากเส้นประสาท รวมถึงอาการปวดศีรษะข้างเดียวหรือไมเกรน
4. กาเฟอีนสามารถช่วยขยายหลอดเลือดแดงที่หล่อเลี้ยงหัวใจได้ จึงทำให้เลือดไปหล่อเลี้ยงหัวใจได้มากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็มีฤทธิ์ทำให้เส้นเลือดแดงบริเวณศีรษะหดตัว
5. เมล็ดกาแฟ มีสรรพคุณช่วยลดน้ำระดับตาลในเลือดได้ โดยการใช้เมล็ดที่คั่วแล้ว นำมาชงกับน้ำร้อน เป็นเครื่องดื่มยามว่าง
6. กาแฟมีสรรพคุณช่วยบำรุงหัวใจ และช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ การดื่มกาแฟจะทำให้หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตเพิ่มขึ้น เพราะกาแฟมีสาร theobromine (เมล็ด)
7. กาแฟมีนิโคติน แต่ไม่ใช่ชนิดเดียวกันกับที่พบได้ในบุหรี่ แต่เป็นวิตามินบีรวมชนิดหนึ่งที่ร่างกายต้องการ ซึ่งสามารถช่วยลดคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดได้ การดื่มกาแฟจึงช่วยป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดแข็งตัว
8. การดื่มกาแฟหลังอาหาร สามารถช่วยละลายไขมัน ทำให้ไขมันเกิดการแตกตัว และให้พลังงานทดแทนได้ อีกทั้งกาแฟยังมีประโยชน์ต่อกระเพาะโดยตรง โดยจะช่วยทำให้น้ำย่อยที่กระเพาะและตับอ่อนมีเพิ่มขึ้น จึงทำให้ไขมันถูกเผาผลาญ การดื่มกาแฟจึงมีส่วนในการช่วยลดความอ้วนได้
9. ช่วยเพิ่มไขมันดี (HDL) ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งไขมันชนิดนี้จะเป็นตัวช่วยขับไล่คอเลสเตอรอล และช่วยป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว
10. การดื่มกาแฟสามารถช่วยป้องกันการเกิดโรคหอบหืดได้ เพราะกาแฟมีสารกาเฟอีนที่ช่วยระงับอาการตึงเครียดของประสาทสัมผัสสำรอง จึงช่วยลดการเกิดโรคหอบได้
11. มีงานวิจัยที่ได้พิสูจน์แล้วว่า กาแฟมีประโยชน์ในการช่วยป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบบี
12. กาแฟมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ
พื้นที่การเพาะปลูก ภาคเหนือ : เชียงใหม่ ลำพูน เชียงราย พะเยา แพร่ น่าน ลำปาง ตาก อุตรดิตถ์ พิษณุโลก ภาคตะวันออก : จันทบุรี ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : หนองคาย เลย นครพนม มุกดาหาร สกลนคร ขอนแก่น นครราชสีมา ฤดุกาลเก็บเกี่ยว : ระหว่างเดือนกรกฎาคม – สิงหาคม
2,000-3,000 กิโลกรัมต่อไร่
ไม้ต้น สูง 7-15 ม. ใบประกอบแบบขนนก เรียงแบบเวียน ยาว 7.5-45 ซม. ใบย่อย 4-8 ใบ เรียงตรงข้ามหรือเกือบตรงข้าม รูปขอบขนาน หรือรูปขอบขนานแกมรูปรี ยาว 5-17 ซม. ช่อดอกแบบกระจะ หรือช่อแยกแขนง มีขนสั้นนุ่ม ดอกขนาดเล็ก วงกลีบเลี้ยงรูปถ้วยมี 4-5 แฉก ไม่มีกลีบดอก ผลกลม มีปุ่มปม เมล็ดกลม มีเยื่อหุ้มเมล็ดฉ่ำน้ำห่อหุ้ม ออกดอกเดือน มี.ค.-เม.ย.
ไม้ต้น สูง 7-15 ม. ใบประกอบแบบขนนก เรียงแบบเวียน ยาว 7.5-45 ซม. ใบย่อย 4-8 ใบ เรียงตรงข้ามหรือเกือบตรงข้าม รูปขอบขนาน หรือรูปขอบขนานแกมรูปรี ยาว 5-17 ซม. ช่อดอกแบบกระจะ หรือช่อแยกแขนง มีขนสั้นนุ่ม ดอกขนาดเล็ก วงกลีบเลี้ยงรูปถ้วยมี 4-5 แฉก ไม่มีกลีบดอก ผลกลม มีปุ่มปม เมล็ดกลม มีเยื่อหุ้มเมล็ดฉ่ำน้ำห่อหุ้ม ออกดอกเดือน มี.ค.-เม.ย.
เปลือกของต้นมีสีน้ำตาลอ่อนหรือเทาและมีรสฝาดใช้ต้มเป็นยาหม้อแก้ท้องร่วง ลำต้นมีขนาดใหญ่ สูงประมาณ 30-40 ฟุต เนื้อไม้มีสีแดงและแข็งสามารถใช้ทำเครื่องใช้ประดับบ้านได้ เนื้อลำไยกินสดเป็นผลไม้ ทำเป็นอาหารหวาน เช่น ข้าวเหนียวเปียกลำไย วุ้นลำไย ลำไยลอยแก้ว น้ำลำไย หรือแปรรูป เช่น บรรจุกระป๋อง ตากแห้งสามารถทำเป็นชาชงดื่ม เป็นยาบำรุงกำลังช่วยให้หลับสบายเจริญอาหาร แต่ถ้ากินลำไยมากเกินไปจะเกิดอาการร้อนใน แผลในปาก หรือตาแฉะได้ ในตำรายาจีนเรียกกุ้ยหยวน (ภาษาจีนกลาง) หรือ กุ้ยอี้ (ภาษาจีนแต้จิ๋ว) ใช้เป็นยาบำรุงเลือด กล่อมประสาท
พื้นที่ที่มีระดับความสูงจากน้ำทะเล 800 เมตร อุณหภูมิระหว่าง 10-25 องศาเซลเซียส (มีอากาศเย็นตลอดปี) ดินอุดมสมบูรณ์ เช่น ดินแบบทุ่งหญ้าแพรรี หรือดินร่วนที่อุดมสมบูรณ์ แหล่งปลูกที่สำคัญในประเทศไทยที่ อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ ฤดูกาลที่กระเทียมเจริญเติบโด : เริ่มปลูกในช่วงเดือนปลายสิงหาคม ถึง ปลายตุลาคม เริ่มเก็บเกี่ยวช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงช่วงเดือนเมษายนของปีถัดไป
เป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปีขนาดเล็กที่มีลำต้นสั้นและหนา จนดูเหมือนว่าไม่มีลำต้น ทรงพุ่มกว้าง 20 – 30 เซนติเมตร สูง 15 – 20 เซนติเมตร ความสูงและทรงพุ่มแตกต่างไปตามพันธุ์ ลำต้น ลำต้นของสตรอเบอรีเรียกว่าคราวน์ (crown) เป็นส่วนของลำต้นที่สั้น โดยปกติมีขนาดยาวประมาณ 2.5 เซนติเมตร มีลักษณะเป็นข้อ ตามข้อมีตาหลายชนิดได้แก่ ตาที่เจริญไปเป็นใบ ตาที่เจริญไปเป็นลำต้นแขนง ( branch crown ) ตาที่เจริญไปเป็นช่อดอก และตาที่เจริญไปเป็นไหล โดยไหลสามารถเจริญไปเป็นต้นสตรอเบอรีใหม่และเกิดรากได้ ตาเหล่านี้อยู่ที่มุมของก้านใบ ใบ ลักษณะของใบสตรอเบอรี่จัดเป็นใบประกอบแบบมี 3 ใบย่อย (trifoliate) หรือ บางครั้งเป็นแบบอันอิควอลลี อิมพาริพินเนท (unequally imparipinnate) คือใบย่อยข้างๆทั้งคู่ซึ่งปกติมีขนาดเล็กกว่าใบย่อยกลางเล็กน้อย มีขนาดเล็กกว่าใบย่อยปกติมาก รูปร่างของแผ่นใบย่อยเป็นรูปไข่ ตอนบนของใบย่อยมีขอบเป็นหยักแบบฟันเลื่อย (dentate) ส่วนฐานของใบย่อยมีขอบเรียบ (entire) ใบย่อยใบกลางมีฐานใบเป็นรูปลิ่ม ส่วนใบย่อยข้างๆมีฐานใบไม่ได้สมมาตร (oblique) โดยฟากที่อยู่ข้างๆ ใบย่อยใบกลางมีขนาดเล็กกว่าฟากที่อยู่ด้านนอก ก้านช่อดอก (scape) มักมีความยาวใกล้เคียงกับก้านใบ ดอก เป็นช่อดอกแบบไซม์ (cyme) มีประมาณ 3- 5 ช่อๆละ 8 – 15 ดอก ก้านแขนง ก้านล่างสุดมีหูใบ ( stipule) และอาจมีแผ่นใบเล็กๆหุ้ม ก้านดอกยาวเรียว ในช่วงที่ยัง เป็นดอกก้านดอกย่อยจะเหยียดตรงเมื่อติดผลก้านดอกย่อยจะโค้งงอลงสตรอเบอรีมีการออกดอกแบบโพลีกาโมไดโออีเชียส (polygamo dioecious) คือมีทั้งดอกตัวผู้ ดอกตัวเมียและดอกสมบูรณ์เพศ โดยมีดอกตัวผู้และดอกสมบูรณ์เพศอยู่บนต้นหนึ่งและมี ดอกตัวเมียกับดอกสมบูรณ์เพศบนอีกต้นหนึ่งจะไม่พบต้นสตรอเบอรีที่มีดอกสมบูรณ์เพศหรือมีทั้งดอกตัวผู้ และ ดอกตัวเมียอยู่บนต้นเดียวกันเลย ดอกมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2 เซนติเมตร กลีบเลี้ยงสีเขียวมีจำนวน 5 อัน กลีบดอก สีขาวมีจำนวน 5 อัน กลีบดอกแยกจากกันและอยู่รอบฐานรองดอก เกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียมี สีเหลืองอยู่กลางดอก -ผล จัดเป็นผลกลุ่ม (aggregate fruit) ผลย่อยแต่ละผลเรียกว่าอะคีน (achene) อยู่บนผิวของผล แต่ละผลอาจมี ผลย่อยจำนวน 20-500 ผลซึ่งแต่ละอันมีความยาว 1 มิลลิเมตร ผลของสตรอเบอรีคือส่วนที่เจริญมาจากฐานรองดอก (receptacle) พัฒนาไปสู่ส่วนที่รับประทานได้ ผลมีหลายรูปทรง เช่น ทรงกลม ทรงกลมแป้น ทรงกลมปลายแหลม ทรงแหลม ทรงแหลมยาว ทรงลิ่มยาว และทรงลิ่มสั้น มีหลายขนาดขึ้นอยู่กับพันธุ์ ผลมีสีเขียวในระยะแรก และค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีขาวเมื่อผลแก่จะเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม รสเปรี้ยวอมหวาน
เป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปีขนาดเล็กที่มีลำต้นสั้นและหนา จนดูเหมือนว่าไม่มีลำต้น ทรงพุ่มกว้าง 20 – 30 เซนติเมตร สูง 15 – 20 เซนติเมตร ความสูงและทรงพุ่มแตกต่างไปตามพันธุ์ ลำต้น ลำต้นของสตรอเบอรีเรียกว่าคราวน์ (crown) เป็นส่วนของลำต้นที่สั้น โดยปกติมีขนาดยาวประมาณ 2.5 เซนติเมตร มีลักษณะเป็นข้อ ตามข้อมีตาหลายชนิดได้แก่ ตาที่เจริญไปเป็นใบ ตาที่เจริญไปเป็นลำต้นแขนง ( branch crown ) ตาที่เจริญไปเป็นช่อดอก และตาที่เจริญไปเป็นไหล โดยไหลสามารถเจริญไปเป็นต้นสตรอเบอรีใหม่และเกิดรากได้ ตาเหล่านี้อยู่ที่มุมของก้านใบ ใบ ลักษณะของใบสตรอเบอรี่จัดเป็นใบประกอบแบบมี 3 ใบย่อย (trifoliate) หรือ บางครั้งเป็นแบบอันอิควอลลี อิมพาริพินเนท (unequally imparipinnate) คือใบย่อยข้างๆทั้งคู่ซึ่งปกติมีขนาดเล็กกว่าใบย่อยกลางเล็กน้อย มีขนาดเล็กกว่าใบย่อยปกติมาก รูปร่างของแผ่นใบย่อยเป็นรูปไข่ ตอนบนของใบย่อยมีขอบเป็นหยักแบบฟันเลื่อย (dentate) ส่วนฐานของใบย่อยมีขอบเรียบ (entire) ใบย่อยใบกลางมีฐานใบเป็นรูปลิ่ม ส่วนใบย่อยข้างๆมีฐานใบไม่ได้สมมาตร (oblique) โดยฟากที่อยู่ข้างๆ ใบย่อยใบกลางมีขนาดเล็กกว่าฟากที่อยู่ด้านนอก ก้านช่อดอก (scape) มักมีความยาวใกล้เคียงกับก้านใบ ดอก เป็นช่อดอกแบบไซม์ (cyme) มีประมาณ 3- 5 ช่อๆละ 8 – 15 ดอก ก้านแขนง ก้านล่างสุดมีหูใบ ( stipule) และอาจมีแผ่นใบเล็กๆหุ้ม ก้านดอกยาวเรียว ในช่วงที่ยัง เป็นดอกก้านดอกย่อยจะเหยียดตรงเมื่อติดผลก้านดอกย่อยจะโค้งงอลงสตรอเบอรีมีการออกดอกแบบโพลีกาโมไดโออีเชียส (polygamo dioecious) คือมีทั้งดอกตัวผู้ ดอกตัวเมียและดอกสมบูรณ์เพศ โดยมีดอกตัวผู้และดอกสมบูรณ์เพศอยู่บนต้นหนึ่งและมี ดอกตัวเมียกับดอกสมบูรณ์เพศบนอีกต้นหนึ่งจะไม่พบต้นสตรอเบอรีที่มีดอกสมบูรณ์เพศหรือมีทั้งดอกตัวผู้ และ ดอกตัวเมียอยู่บนต้นเดียวกันเลย ดอกมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2 เซนติเมตร กลีบเลี้ยงสีเขียวมีจำนวน 5 อัน กลีบดอก สีขาวมีจำนวน 5 อัน กลีบดอกแยกจากกันและอยู่รอบฐานรองดอก เกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียมี สีเหลืองอยู่กลางดอก -ผล จัดเป็นผลกลุ่ม (aggregate fruit) ผลย่อยแต่ละผลเรียกว่าอะคีน (achene) อยู่บนผิวของผล แต่ละผลอาจมี ผลย่อยจำนวน 20-500 ผลซึ่งแต่ละอันมีความยาว 1 มิลลิเมตร ผลของสตรอเบอรีคือส่วนที่เจริญมาจากฐานรองดอก (receptacle) พัฒนาไปสู่ส่วนที่รับประทานได้ ผลมีหลายรูปทรง เช่น ทรงกลม ทรงกลมแป้น ทรงกลมปลายแหลม ทรงแหลม ทรงแหลมยาว ทรงลิ่มยาว และทรงลิ่มสั้น มีหลายขนาดขึ้นอยู่กับพันธุ์ ผลมีสีเขียวในระยะแรก และค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีขาวเมื่อผลแก่จะเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม รสเปรี้ยวอมหวาน
ช่วยบำรุงรักษาระบบต่างๆในร่างกาย ช่วยบำรุงผิวพรรณ ช่วยยับยั้งป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง เนื่องจากมีสารต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่ แอนโทไซยานิน (Anthocyanin) เคอซิติน (Quercetin) เคมเพอรอล (Kaempferol) ซึ่งสารเหล่านี้จะช่วยชะลอการเกิดอนุมูลอิสระที่เป็นที่มาของการเสื่อมถอยของเซลต่างๆในร่างกายที่เป็นต้นเหตุของการการเกิดโรคมะเร็งหลายๆชนิด ยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอก ลดความดันโลหิต และโรคหัวใจ สตรอว์เบอร์รี่อุดมไปด้วย โพแทสเซียม(Potassium) และแมกนีเซียม (Magnesium) ซึ่งเป็นตัวช่วยควบคุมระดับความดันเลือดให้อยู่ในสภาวะปรกติ และยังมี วิตามิน ใยอาหาร และโฟเลตที่ช่วยลดคอเรสเตอรอลและไขมันเลวในร่างกาย เพิ่มปริมาณไขมันดี(HDL)ทำให้หลอดเลือกสะอาด ป้องการหลอดเลือดอุดตัน ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อหัวใจให้แข็งแรง ช่วยบำรุงสายตา ด้วยที่ปัจจัยหลักที่ทำให้ระบบการทำงานของดวงตาเสื่อมสภาพลงนั้นมาจากสารอนุมูลอิสระ และการขาดสารอาหารบางตัว และยิ่งอายุยิ่งมากขึ้นก็จะยิ่งทำให้สายตาเราเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งสตรอว์เบอร์รี่นั้นมีส่วนช่วยต้านการเกิดอนุมูลอิสระได้ เพราะมี ฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) กรดฟีโนลิกส์ และวิตามินอีกหลายตัว จึงทำให้ชะลอความเสื่อมของระบบการมองเห็น ช่วยปรับความดันในตาให้กลับมาเป็นปกติ ช่วย ป้องกันโรคต้อกระจก และ ช่วยลดความเสื่อมของจอประสาทตาได้ถึง 50% ส่งเสริมการทำงานและบำรุงสมอง ด้วยจุดเด่นเรื่องสารต้านอนุมูลอิสระนี่เองจึงทำให้ สตรอว์เบอร์รี่มีส่วนช่วยในการส่งเสริมการทำงานของสมองให้ดีขึ้นทำให้อนุมูลอิสระน้อยลง ช่วยลดการเสื่อมสภาพของเนื้อเยื่อและเส้นประสาทต่างๆ และยังมีไอโอดินที่ช่วยให้สมองทำงานได้อย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพอีกด้วย ป้องกันหวัด ภูมิแพ้ และโรคเลือดออกตามไรฟัน เนื่องจากสตรอว์เบอร์รี่มีวิตามินซีอยู่มาก จึงช่วยป้องกันหวัด และเป็นผลไม้ที่เหมาะสำหรับทานหลังฟื้นไข้ ช่วยลดอาหารภูมิแพ้ และโรคภายในช่องปากที่เกิดจากการขาดวิตามินซี ช่วยบำรุงผิวพรรณ เนื่องจากสตรอว์เบอร์รี่มีวิตามินมากมายจึงมีส่วนช่วยในเรื่องของผิวพรรณโดยเฉพาะวิตามินซีและสารต้านนุมูลอิสระ ที่ช่วยชะลอวัย ป้องกันการเสื่อมสภาพของผิว ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง เป็นยาระบายอ่อน จากสรรพคุณทางยา สตรอว์เบอร์รี่ถือเป็นยาระบายอ่อนๆ ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ และยังช่วยแก้อาหารท้องร่วงได้ เพราะสตรอว์เบอร์รี่นั้นอุดมไปด้วยวิตามินซีและธาตุเหล็กนั้นเอง
ส่วนใหญ่จะมาจากจังหวัดแถบภาคเหนือ เช่น เชียงใหม่ แพร่ น่าน สุโขทัย พิษณุโลก หนองคาย และอยุธยา
เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก มีอายุประมาณ 1-3 ปี มีความสูงได้ประมาณ 0.3-1.2 เมตร ลำต้นเปราะหักง่าย
เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก มีอายุประมาณ 1-3 ปี มีความสูงได้ประมาณ 0.3-1.2 เมตร ลำต้นเปราะหักง่าย
แก้ลมจุกเสียด แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับลม เจริญอาหาร
พริกหนุ่มเป็นพริกที่มีความเผ็ด แต่ไม่มากเท่าพริกอื่นๆ ผลของพริกหนุ่มไม่ว่าจะเป็นผลแก่หรือผลสุกก็จะมีลักษณะเป็นผลสีเขียว
เหมาะสำหรับปลูกในพื้นที่แห้งแล้ง ไม่ต้องการน้ำมาก ทนต่อสภาพดินเปรี้ยว และดินเค็ม ถ้านำไปปลูกในพื้นที่ที่น้ำไหลผ่านตลอดเวลา ข้าวจะแตกกอได้ดี เจริญเติบโตได้เร็ว ส่วนมากจะปลูกภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือตอนบน
363 กิโลกรัมต่อไร่
ลำต้น เป็นพืชล้มลุกขนาดเล็ก เป็นพืชตระกูลหญ้า มีอายุสั้นเพียงฤดูเดียว ลำต้นตั้งตรง ลำต้นมีลักษณะกลมเล็กๆ มีข้อและปล้องกลวง ช่วงโคนต้นมีข้อและปล้องสั้นกว่า และยาวขึ้นเรื่อยๆ มีเปลือกหนา มีขนหยาบๆปกคลุม ต้นมีสีเขียว ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกตรงข้ามสลับกัน ใบมีลักษณะยาวรี ขอบใบเรียบ มีเส้นกลางใบตามยาวเห็นชัด ก้านใบออกหุ้มรอบๆลำต้น มีขนเล็กๆปกคลุม ผิวใบสากมือ สีเขียว ราก เป็นระบบรากฝอย มีลักษณะกลมเล็กๆ แทงลงในดิน มีรากออกที่ข้อลำต้นที่อยู่ใต้ดิน ออกบริเวณรอบๆลำต้น มีสีน้ำตาล ดอก ออกเป็นช่อ ออกปลายยอด ก้านช่อดอกยาว มีดอกย่อยจำนวนมาก มีลักษณะทรงรีเล็กๆ มีสีขาว มีเกสรสีเหลืองเบาปลิวกระจายได้ ก้านช่อดอกสั้น ผล เป็นเมล็ด อยู่เป็นช่อ มีลักษณะทรงรี เรียวยาวเล็กๆ มีเปลือกแข็งแห้งหุ้มเมล็ด เปลือกเมล็ดอ่อนมีสีเขียว เปลือกเมล็ดมีสีเหลืองทอง ข้างในมีเมล็ดแข็งมาก มีเยื่อหุ้มเมล็ดสีแดงเข้ม เมล็ดมีสีน้ำตาลแดงเข้ม เมื่อหุงสุกแล้วเมล็ดจะร่วนสวย นุ่มเหนียว มีกลิ่นหอม
ลำต้น เป็นพืชล้มลุกขนาดเล็ก เป็นพืชตระกูลหญ้า มีอายุสั้นเพียงฤดูเดียว ลำต้นตั้งตรง ลำต้นมีลักษณะกลมเล็กๆ มีข้อและปล้องกลวง ช่วงโคนต้นมีข้อและปล้องสั้นกว่า และยาวขึ้นเรื่อยๆ มีเปลือกหนา มีขนหยาบๆปกคลุม ต้นมีสีเขียว ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกตรงข้ามสลับกัน ใบมีลักษณะยาวรี ขอบใบเรียบ มีเส้นกลางใบตามยาวเห็นชัด ก้านใบออกหุ้มรอบๆลำต้น มีขนเล็กๆปกคลุม ผิวใบสากมือ สีเขียว ราก เป็นระบบรากฝอย มีลักษณะกลมเล็กๆ แทงลงในดิน มีรากออกที่ข้อลำต้นที่อยู่ใต้ดิน ออกบริเวณรอบๆลำต้น มีสีน้ำตาล ดอก ออกเป็นช่อ ออกปลายยอด ก้านช่อดอกยาว มีดอกย่อยจำนวนมาก มีลักษณะทรงรีเล็กๆ มีสีขาว มีเกสรสีเหลืองเบาปลิวกระจายได้ ก้านช่อดอกสั้น ผล เป็นเมล็ด อยู่เป็นช่อ มีลักษณะทรงรี เรียวยาวเล็กๆ มีเปลือกแข็งแห้งหุ้มเมล็ด เปลือกเมล็ดอ่อนมีสีเขียว เปลือกเมล็ดมีสีเหลืองทอง ข้างในมีเมล็ดแข็งมาก มีเยื่อหุ้มเมล็ดสีแดงเข้ม เมล็ดมีสีน้ำตาลแดงเข้ม เมื่อหุงสุกแล้วเมล็ดจะร่วนสวย นุ่มเหนียว มีกลิ่นหอม
1. จมูกข้าวที่คงคุณค่าและมีประโยชน์ต่อร่างกาย 2. วิตามินบีรวมช่วยป้องกันและบรรเทาอาหารอ่อนเพลีย แขน ขาไม่มีแรง ปวดกล้ามเนื้อ โรคผิวหนังบางชนิด บำรุงสมองทำให้เจริญอาหาร 3. วิตามินบี 1 ช่วยป้องกันโรคเหน็บชาได้ 4. วิตามินบี 2 ป้องกันโรคปากนกกระจอกฟอสฟอรัส 5. ช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูกและฟัน 6. แคลเซียม ทำให้กระดูกแข็งแรง 7. ช่วยป้องกันไม่ให้เป็นตะคริว 8. ทองแดง สร้างเมล็ดโลหิต และเฮโมโกลบิน 9. ธาตุเหล็ก ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง โปรตีน ช่วยเสริมสร้างส่วนที่สึกหรอ 10. ไขมัน คาร์โบไฮเดรต ให้พลังงานแก่ร่างกาย ไขมันในข้าวกล้องเป็นไขมันที่ดี ไม่มีโคเรสเตอรอล 11. ไนอะซิน ช่วยระบบผิวหนังและเส้นประสาท และป้องกันโรคเพลลากรา (โรคที่เกิดจากการขาดไนอะซิน จะมี อาการท้องเสีย ประสาทไหว โรคผิวหนัง) 12. ข้าวกล้องมีกากอาหารมาก ซึ่งจะทำให้ท้องไม่ผูก และช่วยป้องกันมะเร็งในลำไส้ 13. วิตามินและเกลือแร่ต่างๆ ในข้าวกล้องจะช่วยให้ส่วนต่างๆ ของร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
สามารถปลูกได้ในดินแทบทุกชนิด โดยดินร่วนปนทรายจะเจริญเติบโตได้ดีและปลูกในฤดูฝน
ประมาณ 643 กิโลกรัมต่อไร่
ลำต้น เป็นพืชล้มลุกขนาดเล็ก เป็นพืชตระกูลหญ้า มีอายุสั้นเพียงฤดูเดียว ลำต้นตั้งตรง ลำต้นมีลักษณะกลมเล็กๆ มีข้อและปล้องกลวง ช่วงโคนต้นมีข้อและปล้องสั้นกว่า และยาวขึ้นเรื่อยๆ มีเปลือกหนา มีขนหยาบๆปกคลุม ต้นมีสีเขียว ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกตรงข้ามสลับกัน ใบมีลักษณะยาวรี ขอบใบเรียบ มีเส้นกลางใบตามยาวเห็นชัด ก้านใบออกหุ้มรอบๆลำต้น มีขนเล็กๆปกคลุม ผิวใบสากมือ สีเขียว ราก เป็นระบบรากฝอย มีลักษณะกลมเล็กๆ แทงลงในดิน มีรากออกที่ข้อลำต้นที่อยู่ใต้ดิน ออกบริเวณรอบๆลำต้น มีสีน้ำตาล ดอก ออกเป็นช่อ ออกปลายยอด ก้านช่อดอกยาว มีดอกย่อยจำนวนมาก มีลักษณะทรงรีเล็กๆ มีสีขาว มีเกสรสีเหลืองเบาปลิวกระจายได้ ก้านช่อดอกสั้น ผล เป็นเมล็ด อยู่เป็นช่อ มีลักษณะทรงรี เรียวยาวเล็กๆ มีเปลือกแข็งแห้งหุ้มเมล็ด เปลือกเมล็ดอ่อนมีสีเขียว เปลือกเมล็ดมีสีเหลืองทอง ข้างในมีเมล็ดแข็งมาก มีเยื่อหุ้มเมล็ดสีแดงเข้ม เมล็ดมีสีน้ำตาลแดงเข้ม เมื่อหุงสุกแล้วเมล็ดจะร่วนสวย นุ่มเหนียว มีกลิ่นหอม
ลำต้น เป็นพืชล้มลุกขนาดเล็ก เป็นพืชตระกูลหญ้า มีอายุสั้นเพียงฤดูเดียว ลำต้นตั้งตรง ลำต้นมีลักษณะกลมเล็กๆ มีข้อและปล้องกลวง ช่วงโคนต้นมีข้อและปล้องสั้นกว่า และยาวขึ้นเรื่อยๆ มีเปลือกหนา มีขนหยาบๆปกคลุม ต้นมีสีเขียว ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกตรงข้ามสลับกัน ใบมีลักษณะยาวรี ขอบใบเรียบ มีเส้นกลางใบตามยาวเห็นชัด ก้านใบออกหุ้มรอบๆลำต้น มีขนเล็กๆปกคลุม ผิวใบสากมือ สีเขียว ราก เป็นระบบรากฝอย มีลักษณะกลมเล็กๆ แทงลงในดิน มีรากออกที่ข้อลำต้นที่อยู่ใต้ดิน ออกบริเวณรอบๆลำต้น มีสีน้ำตาล ดอก ออกเป็นช่อ ออกปลายยอด ก้านช่อดอกยาว มีดอกย่อยจำนวนมาก มีลักษณะทรงรีเล็กๆ มีสีขาว มีเกสรสีเหลืองเบาปลิวกระจายได้ ก้านช่อดอกสั้น ผล เป็นเมล็ด อยู่เป็นช่อ มีลักษณะทรงรี เรียวยาวเล็กๆ มีเปลือกแข็งแห้งหุ้มเมล็ด เปลือกเมล็ดอ่อนมีสีเขียว เปลือกเมล็ดมีสีเหลืองทอง ข้างในมีเมล็ดแข็งมาก มีเยื่อหุ้มเมล็ดสีแดงเข้ม เมล็ดมีสีน้ำตาลแดงเข้ม เมื่อหุงสุกแล้วเมล็ดจะร่วนสวย นุ่มเหนียว มีกลิ่นหอม
1. ช่วยรักษาภูมิแพ้ 2. ไฟเบอร์ช่วยการขับถ่ายและดูดซับไขมัน 3. อุดมธาตุเหล็กและทองแดงที่ช่วยบำรุงเลือด 4. มีวิตามินบี 1 วิตามินบี 2 ช่วยบำรุงสมอง บรรเทาอาการอ่อนเพลีย 5. ไนอะซิน ทำให้ผิวหนังแข็งแรง และมีประสาทที่ฉับไว 6. แคโรทินในข้าวจะแปลงสภาพเป็นวิตามินเอในร่างกาย ช่วยบำรุงสายตา 7. ช่วยในการป้องกันและบรรเทาโรคเบาหวานได้
ข้าวหอมนิลเป็นพืชที่เจริญได้ ในดินแทบทุกชนิด ดินร่วนปนทรายจะเจริญเติบโตได้ดี ควรปลูกในฤดูฝนจะดี
310 กิโลกรัมต่อไร่
เป็นข้าวชนิดหนึ่ง เป็นพืชตระกูลหญ้า มีอายุสั้นเพียงฤดูเดียว เจริญเติบโตได้ง่ายๆ เป็นพืชล้มลุกขนาดเล็ก ลำต้นตั้งตรง ลำต้นมีลักษณะกลมเล็กๆ มีข้อและปล้องกลวง ช่วงโคนต้นมีข้อและปล้องสั้นกว่า และยาวขึ้นเรื่อยๆ มีเปลือกหนา มีขนหยาบๆปกคลุม ต้นมีสีเขียวปนม่วง ใบเป็นใบเดี่ยว ออกตรงข้ามสลับกัน ใบมีลักษณะยาวรี ขอบใบเรียบ มีเส้นกลางใบตามยาวเห็นชัด ก้านใบออกหุ้มรอบๆลำต้น มีขนเล็กๆปกคลุม ผิวใบสากมือ มีสีเขียว ผลเป็นเมล็ด อยู่เป็นช่อ มีลักษณะทรงรี เรียวยาวเล็กๆ มีเปลือกแข็งแห้งหุ้มเมล็ด เปลือกเมล็ดอ่อนมีสีเขียว เปลือกเมล็ดมีสีม่วงเข้ม ข้างในมีเมล็ดแข็งมาก มีเยื่อหุ้มเมล็ดสีม่วงเข้ม เมล็ดมีสีม่วงดำ เมื่อหุงสุกแล้วเมล็ดจะร่วนสวย นุ่มเหนียว มีกลิ่นหอม นำมาประกอบอาหารต่างๆ หลายเมนู ปลูกในประเทศไทยจะมีคุณภาพดีที่สุด มีการปลูกหลายสายพันธุ์ ลำต้น เป็นพืชล้มลุกขนาดเล็ก เป็นพืชตระกูลหญ้า มีอายุสั้นเพียงฤดูเดียว ลำต้นตั้งตรง แตกกอได้ดี ลำต้นมีลักษณะกลมเล็กๆ มีข้อและปล้องกลวง ช่วงโคนต้นมีข้อและปล้องสั้นกว่า และยาวขึ้นเรื่อยๆ มีเปลือกหนา มีขนหยาบๆปกคลุม ต้นมีสีเขียวปนม่วง ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกตรงข้ามสลับกัน ใบมีลักษณะยาวรี ขอบใบเรียบ มีเส้นกลางใบตามยาวเห็นชัด ก้านใบออกหุ้มรอบๆลำต้น มีขนเล็กๆปกคลุม ผิวใบสากมือ สีเขียว ราก เป็นระบบรากฝอย มีลักษณะกลมเล็กๆ แทงลงในดิน มีรากออกที่ข้อลำต้นที่อยู่ใต้ดิน ออกบริเวณรอบๆลำต้น มีสีน้ำตาล ดอก ออกเป็นช่อ ออกปลายยอด ก้านช่อดอกยาว มีดอกย่อยจำนวนมาก มีลักษณะทรงรีเล็กๆ มีสีขาว มีเกสรสีเหลืองเบาปลิวกระจายได้ ก้านช่อดอกสั้น ผล เป็นเมล็ด อยู่เป็นช่อ มีลักษณะทรงรี เรียวยาวเล็กๆ มีเปลือกแข็งแห้งหุ้มเมล็ด เปลือกเมล็ดอ่อนมีสีเขียว เปลือกเมล็ดมีสีม่วงเข้ม ข้างในมีเมล็ดแข็งมาก มีเยื่อหุ้มเมล็ดสีม่วงเข้ม เมล็ดมีสีม่วงดำ เมื่อหุงสุกแล้วเมล็ดจะร่วนสวย นุ่มเหนียว มีกลิ่นหอม
เป็นข้าวชนิดหนึ่ง เป็นพืชตระกูลหญ้า มีอายุสั้นเพียงฤดูเดียว เจริญเติบโตได้ง่ายๆ เป็นพืชล้มลุกขนาดเล็ก ลำต้นตั้งตรง ลำต้นมีลักษณะกลมเล็กๆ มีข้อและปล้องกลวง ช่วงโคนต้นมีข้อและปล้องสั้นกว่า และยาวขึ้นเรื่อยๆ มีเปลือกหนา มีขนหยาบๆปกคลุม ต้นมีสีเขียวปนม่วง ใบเป็นใบเดี่ยว ออกตรงข้ามสลับกัน ใบมีลักษณะยาวรี ขอบใบเรียบ มีเส้นกลางใบตามยาวเห็นชัด ก้านใบออกหุ้มรอบๆลำต้น มีขนเล็กๆปกคลุม ผิวใบสากมือ มีสีเขียว ผลเป็นเมล็ด อยู่เป็นช่อ มีลักษณะทรงรี เรียวยาวเล็กๆ มีเปลือกแข็งแห้งหุ้มเมล็ด เปลือกเมล็ดอ่อนมีสีเขียว เปลือกเมล็ดมีสีม่วงเข้ม ข้างในมีเมล็ดแข็งมาก มีเยื่อหุ้มเมล็ดสีม่วงเข้ม เมล็ดมีสีม่วงดำ เมื่อหุงสุกแล้วเมล็ดจะร่วนสวย นุ่มเหนียว มีกลิ่นหอม นำมาประกอบอาหารต่างๆ หลายเมนู ปลูกในประเทศไทยจะมีคุณภาพดีที่สุด มีการปลูกหลายสายพันธุ์ ลำต้น เป็นพืชล้มลุกขนาดเล็ก เป็นพืชตระกูลหญ้า มีอายุสั้นเพียงฤดูเดียว ลำต้นตั้งตรง แตกกอได้ดี ลำต้นมีลักษณะกลมเล็กๆ มีข้อและปล้องกลวง ช่วงโคนต้นมีข้อและปล้องสั้นกว่า และยาวขึ้นเรื่อยๆ มีเปลือกหนา มีขนหยาบๆปกคลุม ต้นมีสีเขียวปนม่วง ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกตรงข้ามสลับกัน ใบมีลักษณะยาวรี ขอบใบเรียบ มีเส้นกลางใบตามยาวเห็นชัด ก้านใบออกหุ้มรอบๆลำต้น มีขนเล็กๆปกคลุม ผิวใบสากมือ สีเขียว ราก เป็นระบบรากฝอย มีลักษณะกลมเล็กๆ แทงลงในดิน มีรากออกที่ข้อลำต้นที่อยู่ใต้ดิน ออกบริเวณรอบๆลำต้น มีสีน้ำตาล ดอก ออกเป็นช่อ ออกปลายยอด ก้านช่อดอกยาว มีดอกย่อยจำนวนมาก มีลักษณะทรงรีเล็กๆ มีสีขาว มีเกสรสีเหลืองเบาปลิวกระจายได้ ก้านช่อดอกสั้น ผล เป็นเมล็ด อยู่เป็นช่อ มีลักษณะทรงรี เรียวยาวเล็กๆ มีเปลือกแข็งแห้งหุ้มเมล็ด เปลือกเมล็ดอ่อนมีสีเขียว เปลือกเมล็ดมีสีม่วงเข้ม ข้างในมีเมล็ดแข็งมาก มีเยื่อหุ้มเมล็ดสีม่วงเข้ม เมล็ดมีสีม่วงดำ เมื่อหุงสุกแล้วเมล็ดจะร่วนสวย นุ่มเหนียว มีกลิ่นหอม
1. ช่วยบำรุงร่างกายและการเจริญอาหาร 2. มีส่วนช่วยต้านอนุมูลอิสระ 3. ช่วยชะลอชราบำรุงผิวพรรณ 4. ช่วยบำรุงระบบประสาทป้องกันโรคความจำเสื่อม,โรคอัลไซเมอร์ 5. ช่วยบำรุงฟัน ช่วยบำรุงกระดูก 6. ช่วยบำรุงสายตาป้องกันต้อกระจก 7. ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง 8. ช่วยลดน้ำตาลในเลือด 9. สีม่วงเข้ม (cyanidin) เรียกว่า สารแอนโทไซยานิน (anthocyanin) ช่วยทำให้กลไกลการทำงานของร่างกายมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าปกติ
เป็นพันธุ์ที่เหมาะสมสำหรับภาคตะวันอกเฉียงเหนือและภาคเหนือ ปลูกได้เฉพาะนาปี
670 กิโลกรัมต่อไร่
ลำต้น เป็นพืชล้มลุกขนาดเล็ก เป็นพืชตระกูลหญ้า มีอายุสั้นเพียงฤดูเดียว ลำต้นตั้งตรง ลำต้นมีลักษณะกลมเล็กๆ มีข้อและปล้องกลวง ช่วงโคนต้นมีข้อและปล้องสั้นกว่า และยาวขึ้นเรื่อยๆ มีเปลือกหนา มีขนหยาบๆปกคลุม ต้นมีสีเขียว ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกตรงข้ามสลับกัน ใบมีลักษณะยาวรี ขอบใบเรียบ มีเส้นกลางใบตามยาวเห็นชัด ก้านใบออกหุ้มรอบๆลำต้น มีขนเล็กๆปกคลุม ผิวใบสากมือ สีเขียว ราก เป็นระบบรากฝอย มีลักษณะกลมเล็กๆ แทงลงในดิน มีรากออกที่ข้อลำต้นที่อยู่ใต้ดิน ออกบริเวณรอบๆลำต้น มีสีน้ำตาล ดอก ออกเป็นช่อ ออกปลายยอด ก้านช่อดอกยาว มีดอกย่อยจำนวนมาก มีลักษณะทรงรีเล็กๆ มีสีขาว มีเกสรสีเหลืองเบาปลิวกระจายได้ ก้านช่อดอกสั้น ผล เป็นเมล็ด อยู่เป็นช่อ มีลักษณะทรงรี เรียวยาวเล็กๆ มีเปลือกแข็งแห้งหุ้มเมล็ด เปลือกเมล็ดอ่อนมีสีเขียว เปลือกเมล็ดมีสีเหลืองทอง ข้างในมีเมล็ดแข็งมาก มีเยื่อหุ้มเมล็ดสีแดงเข้ม เมล็ดมีสีน้ำตาลแดงเข้ม เมื่อหุงสุกแล้วเมล็ดจะร่วนสวย นุ่มเหนียว มีกลิ่นหอม
ลำต้น เป็นพืชล้มลุกขนาดเล็ก เป็นพืชตระกูลหญ้า มีอายุสั้นเพียงฤดูเดียว ลำต้นตั้งตรง ลำต้นมีลักษณะกลมเล็กๆ มีข้อและปล้องกลวง ช่วงโคนต้นมีข้อและปล้องสั้นกว่า และยาวขึ้นเรื่อยๆ มีเปลือกหนา มีขนหยาบๆปกคลุม ต้นมีสีเขียว ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกตรงข้ามสลับกัน ใบมีลักษณะยาวรี ขอบใบเรียบ มีเส้นกลางใบตามยาวเห็นชัด ก้านใบออกหุ้มรอบๆลำต้น มีขนเล็กๆปกคลุม ผิวใบสากมือ สีเขียว ราก เป็นระบบรากฝอย มีลักษณะกลมเล็กๆ แทงลงในดิน มีรากออกที่ข้อลำต้นที่อยู่ใต้ดิน ออกบริเวณรอบๆลำต้น มีสีน้ำตาล ดอก ออกเป็นช่อ ออกปลายยอด ก้านช่อดอกยาว มีดอกย่อยจำนวนมาก มีลักษณะทรงรีเล็กๆ มีสีขาว มีเกสรสีเหลืองเบาปลิวกระจายได้ ก้านช่อดอกสั้น ผล เป็นเมล็ด อยู่เป็นช่อ มีลักษณะทรงรี เรียวยาวเล็กๆ มีเปลือกแข็งแห้งหุ้มเมล็ด เปลือกเมล็ดอ่อนมีสีเขียว เปลือกเมล็ดมีสีเหลืองทอง ข้างในมีเมล็ดแข็งมาก มีเยื่อหุ้มเมล็ดสีแดงเข้ม เมล็ดมีสีน้ำตาลแดงเข้ม เมื่อหุงสุกแล้วเมล็ดจะร่วนสวย นุ่มเหนียว มีกลิ่นหอม
1. เป็นอาหารร่าเริง ทำให้สมองสงบ คลายเครียด กินแล้วจะรู้สึกผ่อนคลาย ทำให้อิ่มท้องนาน 2. เพิ่มสมรรถภาพการทำงานของกระเพาะอาหาร 3. ชะลอการแก่ก่อนวัย และความเสื่อม ถอยของร่างกาย 4. ช่วยขับลมในร่างกาย 5. สร้างเม็ดเลือด ทำให้เม็ดเลือดสมบูรณ์ 6. ป้องกันหลอดเลือดหัวใจตีบ 7. ป้องกันปัญหาวุ้นนัยน์ตาเสื่อม
ลักษณะเด่น
- ให้ผลผลิตสูงและทนแล้งดีกว่าพันธุ์เหนียวสันป่าตอง
- คุณภาพการหุงต้มดี มีกลิ่นหอม
- ลำต้นแข็งปานกลาง
- ต้านทานโรคใบจุดสีน้ำตาล
- คุณภาพการสีดี
ข้อควรระวัง
- ไม่ต้านทานโรคขอบใบแห้ง และโรคไหม้
- ไม่ต้านทานเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลและแมลงบั่ว
พื้นที่นาน้ำฝนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะพื้นที่ฝนหมดเร็วหรือนาค่อนข้างดอน และในระบบการปลูกพืชที่มีข้าวเป็นพืชหลัก
422-522 กิโลกรัมต่อไร่
ลำต้น เป็นพืชล้มลุกขนาดเล็ก เป็นพืชตระกูลหญ้า มีอายุสั้นเพียงฤดูเดียว ลำต้นตั้งตรง ลำต้นมีลักษณะกลมเล็กๆ มีข้อและปล้องกลวง ช่วงโคนต้นมีข้อและปล้องสั้นกว่า และยาวขึ้นเรื่อยๆ มีเปลือกหนา มีขนหยาบๆปกคลุม ต้นมีสีเขียว ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกตรงข้ามสลับกัน ใบมีลักษณะยาวรี ขอบใบเรียบ มีเส้นกลางใบตามยาวเห็นชัด ก้านใบออกหุ้มรอบๆลำต้น มีขนเล็กๆปกคลุม ผิวใบสากมือ สีเขียว ราก เป็นระบบรากฝอย มีลักษณะกลมเล็กๆ แทงลงในดิน มีรากออกที่ข้อลำต้นที่อยู่ใต้ดิน ออกบริเวณรอบๆลำต้น มีสีน้ำตาล ดอก ออกเป็นช่อ ออกปลายยอด ก้านช่อดอกยาว มีดอกย่อยจำนวนมาก มีลักษณะทรงรีเล็กๆ มีสีขาว มีเกสรสีเหลืองเบาปลิวกระจายได้ ก้านช่อดอกสั้น ผล เป็นเมล็ด อยู่เป็นช่อ มีลักษณะทรงรี เรียวยาวเล็กๆ มีเปลือกแข็งแห้งหุ้มเมล็ด เปลือกเมล็ดอ่อนมีสีเขียว เปลือกเมล็ดมีสีเหลืองทอง ข้างในมีเมล็ดแข็งมาก มีเยื่อหุ้มเมล็ดสีแดงเข้ม เมล็ดมีสีน้ำตาลแดงเข้ม เมื่อหุงสุกแล้วเมล็ดจะร่วนสวย นุ่มเหนียว มีกลิ่นหอม
ลำต้น เป็นพืชล้มลุกขนาดเล็ก เป็นพืชตระกูลหญ้า มีอายุสั้นเพียงฤดูเดียว ลำต้นตั้งตรง ลำต้นมีลักษณะกลมเล็กๆ มีข้อและปล้องกลวง ช่วงโคนต้นมีข้อและปล้องสั้นกว่า และยาวขึ้นเรื่อยๆ มีเปลือกหนา มีขนหยาบๆปกคลุม ต้นมีสีเขียว ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกตรงข้ามสลับกัน ใบมีลักษณะยาวรี ขอบใบเรียบ มีเส้นกลางใบตามยาวเห็นชัด ก้านใบออกหุ้มรอบๆลำต้น มีขนเล็กๆปกคลุม ผิวใบสากมือ สีเขียว ราก เป็นระบบรากฝอย มีลักษณะกลมเล็กๆ แทงลงในดิน มีรากออกที่ข้อลำต้นที่อยู่ใต้ดิน ออกบริเวณรอบๆลำต้น มีสีน้ำตาล ดอก ออกเป็นช่อ ออกปลายยอด ก้านช่อดอกยาว มีดอกย่อยจำนวนมาก มีลักษณะทรงรีเล็กๆ มีสีขาว มีเกสรสีเหลืองเบาปลิวกระจายได้ ก้านช่อดอกสั้น ผล เป็นเมล็ด อยู่เป็นช่อ มีลักษณะทรงรี เรียวยาวเล็กๆ มีเปลือกแข็งแห้งหุ้มเมล็ด เปลือกเมล็ดอ่อนมีสีเขียว เปลือกเมล็ดมีสีเหลืองทอง ข้างในมีเมล็ดแข็งมาก มีเยื่อหุ้มเมล็ดสีแดงเข้ม เมล็ดมีสีน้ำตาลแดงเข้ม เมื่อหุงสุกแล้วเมล็ดจะร่วนสวย นุ่มเหนียว มีกลิ่นหอม
1. เป็นอาหารร่าเริง ทำให้สมองสงบ คลายเครียด กินแล้วจะรู้สึกผ่อนคลาย ทำให้อิ่มท้องนาน 2. เพิ่มสมรรถภาพการทำงานของกระเพาะอาหาร 3. ชะลอการแก่ก่อนวัย และความเสื่อม ถอยของร่างกาย 4. ช่วยขับลมในร่างกาย 5. สร้างเม็ดเลือด ทำให้เม็ดเลือดสมบูรณ์ 6. ป้องกันหลอดเลือดหัวใจตีบ 7. ป้องกันปัญหาวุ้นนัยน์ตาเสื่อม
300-500 กิโลกรัม/ไร่
เป็นข้าวเจ้าไม่ไวต่อแสง สามารถปลูกได้ตลอดทั้งปี ข้าวที่มีเมล็ดข้าวกล้องเรียวยาวสีม่วงเข้ม ข้าวกล้องเมื่อหุงสุกจะนุ่ม เหนียว หอม ข้าวสารหุงสุกมีสีม่วงอ่อน นุ่ม และมีกลิ่นหอม อายุเก็บเกี่ยวสั้นประมาณ 95 วันหลังหว่าน ลำต้นสูประมาณ 50 เซนติเมตร การแตกกอดี ใบและลำต้นมีสีเขียวเข้มปนสีม่วง เปลือกหุ้มเมล็ดข้าวมีสีม่วงเข้ม เมล็ดข้าวกล้องยาวประมาณ 6.5 มิลลิเมตร ไม่ต้านทานโรคขอบใบแห้ง และแมลงโดยทั่ว ๆ ไป
เป็นข้าวเจ้าไม่ไวต่อแสง สามารถปลูกได้ตลอดทั้งปี ข้าวที่มีเมล็ดข้าวกล้องเรียวยาวสีม่วงเข้ม ข้าวกล้องเมื่อหุงสุกจะนุ่ม เหนียว หอม ข้าวสารหุงสุกมีสีม่วงอ่อน นุ่ม และมีกลิ่นหอม อายุเก็บเกี่ยวสั้นประมาณ 95 วันหลังหว่าน ลำต้นสูประมาณ 50 เซนติเมตร การแตกกอดี ใบและลำต้นมีสีเขียวเข้มปนสีม่วง เปลือกหุ้มเมล็ดข้าวมีสีม่วงเข้ม เมล็ดข้าวกล้องยาวประมาณ 6.5 มิลลิเมตร ไม่ต้านทานโรคขอบใบแห้ง และแมลงโดยทั่ว ๆ ไป
โภชนาการต่อข้าว 100 กรัม พบว่าในข้าวกล้องหอมล้านนา มีใยอาหารสูงเกือบ 2 เท่า ของข้าวกล้องทั่วไป และมีวิตามิน แร่ธาตุอาหารต่าง ๆ มากมาย อาทิ วิตามิน B1, B2, Bรวม วิตามิน E ธาตุเหล็ก สังกะสี ทองแดง แคลเซียม โพแทสเซียม (โดยเฉพาะธาตุเหล็กที่มีสูงกว่าข้าวกล้องทั่วไปถึง 30 เท่า) มีโปรตีนสูงถึงร้อยละ 12.5 (มากกว่าข้าวกล้องทั่วไป) แต่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำกว่าข้าวกล้องอื่น ๆ ทำให้กินแล้วไม่อ้วน
ข้าวหอมล้านนา เป็นพันธุ์ข้าวลูกผสมระหว่างข้าวหอมนิลกับข้าวป่าพันธุ์ Oryza nivara
ภาคเหนือตอนบนและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในพื้นที่นาลุ่มทั่วไปต้นกำเนิดเกิดจากสถานีทดลองสันป่าตอง จ. เชียงใหม่
ประมาณ 526 กิโลกรัมต่อไร่
ลำต้น เป็นพืชล้มลุกขนาดเล็ก เป็นพืชตระกูลหญ้า มีอายุสั้นเพียงฤดูเดียว ลำต้นตั้งตรง ลำต้นมีลักษณะกลมเล็กๆ มีข้อและปล้องกลวง ช่วงโคนต้นมีข้อและปล้องสั้นกว่า และยาวขึ้นเรื่อยๆ มีเปลือกหนา มีขนหยาบๆปกคลุม ต้นมีสีเขียว ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกตรงข้ามสลับกัน ใบมีลักษณะยาวรี ขอบใบเรียบ มีเส้นกลางใบตามยาวเห็นชัด ก้านใบออกหุ้มรอบๆลำต้น มีขนเล็กๆปกคลุม ผิวใบสากมือ สีเขียว ราก เป็นระบบรากฝอย มีลักษณะกลมเล็กๆ แทงลงในดิน มีรากออกที่ข้อลำต้นที่อยู่ใต้ดิน ออกบริเวณรอบๆลำต้น มีสีน้ำตาล ดอก ออกเป็นช่อ ออกปลายยอด ก้านช่อดอกยาว มีดอกย่อยจำนวนมาก มีลักษณะทรงรีเล็กๆ มีสีขาว มีเกสรสีเหลืองเบาปลิวกระจายได้ ก้านช่อดอกสั้น ผล เป็นเมล็ด อยู่เป็นช่อ มีลักษณะทรงรี เรียวยาวเล็กๆ มีเปลือกแข็งแห้งหุ้มเมล็ด เปลือกเมล็ดอ่อนมีสีเขียว เปลือกเมล็ดมีสีเหลืองทอง ข้างในมีเมล็ดแข็งมาก มีเยื่อหุ้มเมล็ดสีแดงเข้ม เมล็ดมีสีน้ำตาลแดงเข้ม เมื่อหุงสุกแล้วเมล็ดจะร่วนสวย นุ่มเหนียว มีกลิ่นหอม
ลำต้น เป็นพืชล้มลุกขนาดเล็ก เป็นพืชตระกูลหญ้า มีอายุสั้นเพียงฤดูเดียว ลำต้นตั้งตรง ลำต้นมีลักษณะกลมเล็กๆ มีข้อและปล้องกลวง ช่วงโคนต้นมีข้อและปล้องสั้นกว่า และยาวขึ้นเรื่อยๆ มีเปลือกหนา มีขนหยาบๆปกคลุม ต้นมีสีเขียว ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกตรงข้ามสลับกัน ใบมีลักษณะยาวรี ขอบใบเรียบ มีเส้นกลางใบตามยาวเห็นชัด ก้านใบออกหุ้มรอบๆลำต้น มีขนเล็กๆปกคลุม ผิวใบสากมือ สีเขียว ราก เป็นระบบรากฝอย มีลักษณะกลมเล็กๆ แทงลงในดิน มีรากออกที่ข้อลำต้นที่อยู่ใต้ดิน ออกบริเวณรอบๆลำต้น มีสีน้ำตาล ดอก ออกเป็นช่อ ออกปลายยอด ก้านช่อดอกยาว มีดอกย่อยจำนวนมาก มีลักษณะทรงรีเล็กๆ มีสีขาว มีเกสรสีเหลืองเบาปลิวกระจายได้ ก้านช่อดอกสั้น ผล เป็นเมล็ด อยู่เป็นช่อ มีลักษณะทรงรี เรียวยาวเล็กๆ มีเปลือกแข็งแห้งหุ้มเมล็ด เปลือกเมล็ดอ่อนมีสีเขียว เปลือกเมล็ดมีสีเหลืองทอง ข้างในมีเมล็ดแข็งมาก มีเยื่อหุ้มเมล็ดสีแดงเข้ม เมล็ดมีสีน้ำตาลแดงเข้ม เมื่อหุงสุกแล้วเมล็ดจะร่วนสวย นุ่มเหนียว มีกลิ่นหอม
1. ข้าวเหนียวมีสรรพคุณช่วยเสริมสร้างให้ร่างกายแข็งแรง และมีคุณสมบัติที่ให้พลังงานสูง ทำให้อิ่มท้องได้นาน จะเห็นได้ว่าคนทางภาคอีสานหรือคนที่ต้องใช้แรงในการทำงานหนักจะชอบกินข้าวเหนียวกันมาก 2. ข้าวเหนียวช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของกระเพาะอาหาร รักษาสมดุลและให้ความชุ่มชื้นภายในกระเพาะอาหาร 3. ข้าวเหนียวเป็นอาหารที่กินแล้วให้ความรู้สึกผ่อนคลายและคลายเครียด ไม่หิวง่าย ทำให้จิตใจสงบ และสามารถทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวันได้อย่างสดใสร่าเริง 4. ข้าวเหนียวมีสรรพคุณช่วยชะลอความแก่ก่อนวัย ช่วยให้อวัยวะต่างๆ ของร่างกายไม่เสื่อมถอยไปก่อนเวลาอันควร และบำรุงผิวพรรณให้เนียนใสขึ้น 5. ข้าวเหนียวมีโปรตีนเช่นเดียวกับข้าวเจ้า ซึ่งมีประโยชน์ช่วยในการเจริญเติบโตของร่างกาย รวมทั้งช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกายด้วย 6. ข้าวเหนียวมีสรรพคุณขับลมในร่างกาย ช่วยบำรุงเลือดลม และมีฤทธิ์อุ่นจึงยังช่วยรักษาอุณหภูมิของร่างกายจากอากาศที่หนาวเย็นได้ดี 7. ธาตุเหล็กและกรดโฟลิกในข้าวเหนียวจะช่วยในการสร้างเม็ดเลือด ทำให้เม็ดเลือดมีความสมบูรณ์ 8. ข้าวเหนียวมีวิตามินอีที่จะช่วยบำรุงการทำงานของระบบประสาทและสมอง ช่วยป้องกันอาการหลอดเลือดหัวใจตีบ และป้องกันปัญหาวุ้นนัยน์ตาเสื่อมได้
เป็นพันธุ์ข้าวพื้นเมืองที่มีการปลูกในพื้นที่อำเภอเชียงดาว เป็นข้าวนาปี อายุ 150 วัน
300 กก./ไร่
ลักษณะประจำพันธุ์ข้าว ใบมีขน สีของแผ่นใบสีม่วงทั้งใบ กาบใบสีม่วง ข้อต่อใบสีม่วง ปล้องสีม่วง กอตั้ง ลำต้นค่อนข้างแข็ง ความยาวของลำต้นประมาณ 120 ซม. ความยาวของแผ่นใบ 65 ซม. ความกว้างของแผ่นใบ 1.8 ซม. จำนวนหน่อ(แตกกอ) 8 หน่อ (ในแปลงทดลองกล้าเส้นเดียว) ก้านรวงตั้งตรง ความยาวของรวง 20 ซม. การติดเมล็ด ปานกลาง 75-90 % เมล็ดมีขนสั้น สีเปลือกเมล็ดฟางกระม่วง ความยาวของเมล็ดข้าวสาร 60 มล. ความยาวของเมล็ดข้าวเปลือก 80 มล. ข้าวกล้องสีม่วงดำ การเป็นท้องไข่น้อย กลิ่นหอมเล็กน้อย (ถ้าเปรียบเทียบกับพันธุ์หอมอื่นๆ เช่น ปทุมเทพ)
ลักษณะประจำพันธุ์ข้าว ใบมีขน สีของแผ่นใบสีม่วงทั้งใบ กาบใบสีม่วง ข้อต่อใบสีม่วง ปล้องสีม่วง กอตั้ง ลำต้นค่อนข้างแข็ง ความยาวของลำต้นประมาณ 120 ซม. ความยาวของแผ่นใบ 65 ซม. ความกว้างของแผ่นใบ 1.8 ซม. จำนวนหน่อ(แตกกอ) 8 หน่อ (ในแปลงทดลองกล้าเส้นเดียว) ก้านรวงตั้งตรง ความยาวของรวง 20 ซม. การติดเมล็ด ปานกลาง 75-90 % เมล็ดมีขนสั้น สีเปลือกเมล็ดฟางกระม่วง ความยาวของเมล็ดข้าวสาร 60 มล. ความยาวของเมล็ดข้าวเปลือก 80 มล. ข้าวกล้องสีม่วงดำ การเป็นท้องไข่น้อย กลิ่นหอมเล็กน้อย (ถ้าเปรียบเทียบกับพันธุ์หอมอื่นๆ เช่น ปทุมเทพ)
ชาวบ้านจะไม่นิยมนำข้าวเหนียวก่ำบึ้งมานึ่งกินในชีวิตประจำวัน เพราะจะแข็งกว่าข้าวเหนียวทั่วไป แต่ปลูกสำหรับไว้ทำขนมในเทศกาล งานบุญต่างๆ โดยการนำมาผสมข้าวเหนียวขาวก่อนนำไปทำขนม
จุดอ่อน : การแตกกอน้อย ทำให้ผลผลิตน้อย ต้นสูง ล้มง่าย
จุดแข็ง : การต้านทานโรคสูง ไม่ค่อยมีศัตรู
อุดมไปด้วยไฟเบอร์ และสารอาหาร
ผลลำไยมีรูปร่างทรงกลมหรือทรงเบี้ยวขึ้นอยู่กับพันธุ์ เปลือกสีน้ำตาลอมเหลืองหรืออมเขียว ผลสุกมีเปลือกสีเหลือง หรือสีน้ำตาลอมแดง ผิวเปลือกเรียบหรือเกือบเรียบ มีตุ่มแบนๆปกคลุม ที่ผิวเปลือกด้านนอก
โรงเพาะปลูก
ต้นอ่อน
ต้นอ่อน
มีกลุ่มวิตามินเค วิตามินซี วิตามินอี สารลูทีนในกลุ่มเบต้า-แคโรทีน ซึ่งก็พบว่า ระดับของวิตามินซี วิตามินเค และวิตามินอี จะพบมากที่สุดในต้นอ่อนของกะหล่ำปลีแดง ผักโขมแดง และหัวไชเท้าสีเขียว ส่วนต้นอ่อนของผักชีอุดมด้วย ลูตินและเบต้า-แคโรทีน สารอาหารเหล่านี้มีความสำคัญมากต่อผิวและตา ช่วยต้านมะเร็ง และมีประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายต่อสุขภาพ
ไมโครกรีน คือต้นกล้าขนาดเล็ก หรือต้นอ่อนที่เพาะจากเมล็ดของพืช ผัก สมุนไพรชนิดต่างๆ และเจริญเติบโตจนมีใบจริง 2-3 ใบ ขนาดความสูงของต้นกล้าขนาดที่รับประทานได้ประมาณ 2-3 นิ้ว
พื้นที่สูงทางภาคเหนือ
จัดเป็นไม้ล้มลุกที่มีอายุราว 1 ปี มีความสูงของต้นประมาณ 40-150 เซนติเมตร แตกขึ้นเป็นกอแน่น ลำต้นเรียบ มีข้อและปล้องประมาณ 4-7 ปล้อง มีขนาดใหญ่ขึ้นจากโคนไปสู่ปลาย ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการหว่านเมล็ด
ใบข้าวสาลี ใบเป็นใบเดี่ยว ใบติดแบบเรียงสลับ ลักษณะของใบเป็นรูปแถบผอมยาว มีขนาดกว้างประมาณ 1-3 เซนติเมตร และยาวประมาณ 15-40 เซนติเมตร ใบเกลี้ยงหรือมีขน เขี้ยวใบเป็นแผ่น หูใบบาง
ดอกข้าวสาลี ออกดอกเป็นช่อ ชนิดดอกช่อเชิงลด เรียงเป็นสองแถว แกนกลางช่อหยักไปมา ยาวได้ประมาณ 5-15 เซนติเมตร ช่อดอกย่อยแบบ ซ้อนทับกันเป็นแถวด้านข้างของแกนช่อดอก ช่อดอกย่อยประกอบไปด้วยดอกย่อยประมาณ 3-9 ดอก ดอกเป็นดอกแบบสมบูรณ์เพศ ดอกจะมีรูปร่าง ขนาด และความหนาแน่นแตกต่างกันออกไปตามสายพันธุ์ ตรงปลายกาบช่อย่อยเป็นสัน 1 สัน เกิดจากเส้นใบยื่นเป็นปีกแหลม ส่วนกาบล่างมีรยางค์แข็งยาวได้ถึง 16 เซนติเมตร
ผลข้าวสาลี ลักษณะของผลเป็นรูปไข่หรือรูปกระสวย มีร่องตามยาว สีน้ำตาลแดง เหลือง ขาว หรือมีสีปนกัน โดยส่วนที่นำมารับประทานจะมีอยู่ 3 ส่วน ได้แก่
จัดเป็นไม้ล้มลุกที่มีอายุราว 1 ปี มีความสูงของต้นประมาณ 40-150 เซนติเมตร แตกขึ้นเป็นกอแน่น ลำต้นเรียบ มีข้อและปล้องประมาณ 4-7 ปล้อง มีขนาดใหญ่ขึ้นจากโคนไปสู่ปลาย ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการหว่านเมล็ด
ใบข้าวสาลี ใบเป็นใบเดี่ยว ใบติดแบบเรียงสลับ ลักษณะของใบเป็นรูปแถบผอมยาว มีขนาดกว้างประมาณ 1-3 เซนติเมตร และยาวประมาณ 15-40 เซนติเมตร ใบเกลี้ยงหรือมีขน เขี้ยวใบเป็นแผ่น หูใบบาง
ดอกข้าวสาลี ออกดอกเป็นช่อ ชนิดดอกช่อเชิงลด เรียงเป็นสองแถว แกนกลางช่อหยักไปมา ยาวได้ประมาณ 5-15 เซนติเมตร ช่อดอกย่อยแบบ ซ้อนทับกันเป็นแถวด้านข้างของแกนช่อดอก ช่อดอกย่อยประกอบไปด้วยดอกย่อยประมาณ 3-9 ดอก ดอกเป็นดอกแบบสมบูรณ์เพศ ดอกจะมีรูปร่าง ขนาด และความหนาแน่นแตกต่างกันออกไปตามสายพันธุ์ ตรงปลายกาบช่อย่อยเป็นสัน 1 สัน เกิดจากเส้นใบยื่นเป็นปีกแหลม ส่วนกาบล่างมีรยางค์แข็งยาวได้ถึง 16 เซนติเมตร
ผลข้าวสาลี ลักษณะของผลเป็นรูปไข่หรือรูปกระสวย มีร่องตามยาว สีน้ำตาลแดง เหลือง ขาว หรือมีสีปนกัน โดยส่วนที่นำมารับประทานจะมีอยู่ 3 ส่วน ได้แก่
1.ในข้าวกล้องงอกมีสารอาหารสำคัญคือ กาบา (GABA) ซึ่งเป็นกรดอะมิโน จะทำหน้าที่รักษาสมดุลในสมอง ช่วยให้สมองผ่อนคลาย นอนหลับสบาย และกระตุ้นต่อมไร้ท่อทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนที่ช่วยในการเจริญเติบโตของร่างกาย
2.มีผลวิจัยระบุว่าข้าวกล้องงอกช่วยลดความดันโลหิต ลดน้ำหนัก ช่วยให้ผิวพรรณดี ป้องกันการเกิดฝ้า ชะลอความแก่ ลดริ้วรอยเหี่ยวย่นของผิว
3.ใยอาหารที่ได้จากข้าวกล้องงอก ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ป้องกันมะเร็งลำไส้ และลดอาการท้องผูกได้
4.สารกาบา (GABA) ช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ (ความจำเสื่อม) ทำให้จิตใจสงบ ลดความเครียดวิตกกังวล ลดความดันโลหิต
5.สารกาบาในข้างกล้อง เหมาะสำหรับเด็กในวัยเรียน เพราะเป็นเหมือนอาหารบำรุงสมอง ช่วยให้สมองสดชื่น แจ่มใส ความคิดฉับไว รักษาสมดุลในสมอง
การนำข้าวกล้องมาผ่านกระบวนการงอก ซึ่งปกติข้าวกล้องจะมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพอยู่แล้ว เช่น มีใยอาหาร มีวิตามินซี วิตามินอี กาบา (GABA) และกรดหรือแร่ธาตุต่างๆ ที่ช่วยป้องกันโรคและรักษาสมดุลทำให้ระบบต่างๆในร่างกายทำงานดีขึ้น เมื่อนำข้าวกล้องมาแช่น้ำเพื่อทำให้งอก ทำให้ข้าวกล้องมีสารอาหารโดยเฉพาะ GABA เพิ่มขึ้น นอกจากนั้นข้าวกล้องงอกที่หุงสุกยังอ่อนนุ่ม รับประทานง่ายกว่าข้าวกล้องทั่วไป
ถั่งเช่าเป็นสมุนไพรเห็ดราชนิดหนึ่ง มีลักษณะเฉพาะตัวคือสองส่วน ส่วนที่เป็นเห็ด และส่วนที่เป็นหนอน
ถั่งเช่าเป็นสมุนไพรเห็ดราชนิดหนึ่ง มีลักษณะเฉพาะตัวคือสองส่วน ส่วนที่เป็นเห็ด และส่วนที่เป็นหนอน
บำรุงไต เสริมระบบภูมิคุ้มกัน บรรเทาอาการอ่อนเพลีย บรรเทาอาการภูมิแพ้ บรรเทาอาการไอ และละลายเสมหะ บรรเทาอาการหอบหืด บรรเทาอาการหย่อน และช่วยเพิ่มสรรถภาพทางเพศ ชลอความชรา และเป็นยาบำรุงที่ดีและสำหรับผู้ป่วยที่พึ่งฟื้นไข้
นิยมปลูกมากในภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย
200-300 กิโลกรัมต่อไร่
ลำต้น เป็นพืชล้มลุกขนาดเล็ก เป็นพืชตระกูลหญ้า มีอายุสั้นเพียงฤดูเดียว ลำต้นตั้งตรง ลำต้นมีลักษณะกลมเล็กๆ มีข้อและปล้องกลวง ช่วงโคนต้นมีข้อและปล้องสั้นกว่า และยาวขึ้นเรื่อยๆ มีเปลือกหนา มีขนหยาบๆปกคลุม ต้นมีสีเขียว ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกตรงข้ามสลับกัน ใบมีลักษณะยาวรี ขอบใบเรียบ มีเส้นกลางใบตามยาวเห็นชัด ก้านใบออกหุ้มรอบๆลำต้น มีขนเล็กๆปกคลุม ผิวใบสากมือ สีเขียว ราก เป็นระบบรากฝอย มีลักษณะกลมเล็กๆ แทงลงในดิน มีรากออกที่ข้อลำต้นที่อยู่ใต้ดิน ออกบริเวณรอบๆลำต้น มีสีน้ำตาล ดอก ออกเป็นช่อ ออกปลายยอด ก้านช่อดอกยาว มีดอกย่อยจำนวนมาก มีลักษณะทรงรีเล็กๆ มีสีขาว มีเกสรสีเหลืองเบาปลิวกระจายได้ ก้านช่อดอกสั้น ผล เป็นเมล็ด อยู่เป็นช่อ มีลักษณะทรงรี เรียวยาวเล็กๆ มีเปลือกแข็งแห้งหุ้มเมล็ด เปลือกเมล็ดอ่อนมีสีเขียว เปลือกเมล็ดมีสีเหลืองทอง ข้างในมีเมล็ดแข็งมาก มีเยื่อหุ้มเมล็ดสีแดงเข้ม เมล็ดมีสีน้ำตาลแดงเข้ม เมื่อหุงสุกแล้วเมล็ดจะร่วนสวย นุ่มเหนียว มีกลิ่นหอม
ลำต้น เป็นพืชล้มลุกขนาดเล็ก เป็นพืชตระกูลหญ้า มีอายุสั้นเพียงฤดูเดียว ลำต้นตั้งตรง ลำต้นมีลักษณะกลมเล็กๆ มีข้อและปล้องกลวง ช่วงโคนต้นมีข้อและปล้องสั้นกว่า และยาวขึ้นเรื่อยๆ มีเปลือกหนา มีขนหยาบๆปกคลุม ต้นมีสีเขียว ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกตรงข้ามสลับกัน ใบมีลักษณะยาวรี ขอบใบเรียบ มีเส้นกลางใบตามยาวเห็นชัด ก้านใบออกหุ้มรอบๆลำต้น มีขนเล็กๆปกคลุม ผิวใบสากมือ สีเขียว ราก เป็นระบบรากฝอย มีลักษณะกลมเล็กๆ แทงลงในดิน มีรากออกที่ข้อลำต้นที่อยู่ใต้ดิน ออกบริเวณรอบๆลำต้น มีสีน้ำตาล ดอก ออกเป็นช่อ ออกปลายยอด ก้านช่อดอกยาว มีดอกย่อยจำนวนมาก มีลักษณะทรงรีเล็กๆ มีสีขาว มีเกสรสีเหลืองเบาปลิวกระจายได้ ก้านช่อดอกสั้น ผล เป็นเมล็ด อยู่เป็นช่อ มีลักษณะทรงรี เรียวยาวเล็กๆ มีเปลือกแข็งแห้งหุ้มเมล็ด เปลือกเมล็ดอ่อนมีสีเขียว เปลือกเมล็ดมีสีเหลืองทอง ข้างในมีเมล็ดแข็งมาก มีเยื่อหุ้มเมล็ดสีแดงเข้ม เมล็ดมีสีน้ำตาลแดงเข้ม เมื่อหุงสุกแล้วเมล็ดจะร่วนสวย นุ่มเหนียว มีกลิ่นหอม
มีคุณสมบัติโดดเด่นเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยในการหมุนเวียนของกระแสโลหิต ชะลอการเสื่อมของเซลล์ร่างกาย ช่วยลดโอกาสการเกิดมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งชนิด เนื้องอก เสริมให้ร่างกายต่อต้านเชื้อโรคและสมานแผล เสริมภูมิคุ้มกันในร่างกาย ส่วน สารแกมมาโอไรซานอล มีคุณสมบัติ ต้านการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน ลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดคอเลสเทอรอล ไตรกลีเซอไรด์ และเพิ่มระดับของ high density lipoprotein (HDL) ในเลือด ยับยั้งการรวมตัวของเลือดและยับยั้งการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารจากคุณสมบัติทางโภชนาฯดังกล่าว ทีมวิจัยจึงได้ศึกษาศักยภาพและฤทธิ์ทางชีวภาพของข้าวก่ำดอยสะเก็ดในโรคเบาหวานควบคู่กันในสัตว์ทดลอง โดยให้รำข้าวก่ำดอยสะเก็ดติดต่อกันเป็นเวลา 8 สัปดาห์ พบว่า ช่วยลดระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือด ลดระดับไขมันในเลือด ลดการเกิดสารอนุมูลอิสระในเลือดได้อย่างมีนัยสำคัญ เช่นเดียวกันกับการฉีดอินซูลินหรือการให้ยา metformin ในสัตว์ทดลองที่มีภาวะเบาหวานทั้งสองรูปแบบ การศึกษานี้จึงเป็นอีกหนึ่งหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนศักยภาพของข้าวก่ำดอยสะเก็ดในการที่จะพัฒนาต่อยอดเพื่อเป็นอาหารสุขภาพ (food supplement) หรือยาเสริม (additive treatment) สำหรับผู้ที่ต้องการดูแลรักษาสุขภาพหรือผู้ป่วยเบาหวานต่อไป
เหมาะสำหรับปลูกในพื้นที่เกษตรอินทรีย์ใช้ปัจจัยการผลิตต่ำและต้องการข้าวคุณภาพพิเศษ
383 กิโลกรัมต่อไร่
ลำต้น เป็นพืชล้มลุกขนาดเล็ก เป็นพืชตระกูลหญ้า มีอายุสั้นเพียงฤดูเดียว ลำต้นตั้งตรง ลำต้นมีลักษณะกลมเล็กๆ มีข้อและปล้องกลวง ช่วงโคนต้นมีข้อและปล้องสั้นกว่า และยาวขึ้นเรื่อยๆ มีเปลือกหนา มีขนหยาบๆปกคลุม ต้นมีสีเขียว ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกตรงข้ามสลับกัน ใบมีลักษณะยาวรี ขอบใบเรียบ มีเส้นกลางใบตามยาวเห็นชัด ก้านใบออกหุ้มรอบๆลำต้น มีขนเล็กๆปกคลุม ผิวใบสากมือ สีเขียว ราก เป็นระบบรากฝอย มีลักษณะกลมเล็กๆ แทงลงในดิน มีรากออกที่ข้อลำต้นที่อยู่ใต้ดิน ออกบริเวณรอบๆลำต้น มีสีน้ำตาล ดอก ออกเป็นช่อ ออกปลายยอด ก้านช่อดอกยาว มีดอกย่อยจำนวนมาก มีลักษณะทรงรีเล็กๆ มีสีขาว มีเกสรสีเหลืองเบาปลิวกระจายได้ ก้านช่อดอกสั้น ผล เป็นเมล็ด อยู่เป็นช่อ มีลักษณะทรงรี เรียวยาวเล็กๆ มีเปลือกแข็งแห้งหุ้มเมล็ด เปลือกเมล็ดอ่อนมีสีเขียว เปลือกเมล็ดมีสีเหลืองทอง ข้างในมีเมล็ดแข็งมาก มีเยื่อหุ้มเมล็ดสีแดงเข้ม เมล็ดมีสีน้ำตาลแดงเข้ม เมื่อหุงสุกแล้วเมล็ดจะร่วนสวย นุ่มเหนียว มีกลิ่นหอม
ลำต้น เป็นพืชล้มลุกขนาดเล็ก เป็นพืชตระกูลหญ้า มีอายุสั้นเพียงฤดูเดียว ลำต้นตั้งตรง ลำต้นมีลักษณะกลมเล็กๆ มีข้อและปล้องกลวง ช่วงโคนต้นมีข้อและปล้องสั้นกว่า และยาวขึ้นเรื่อยๆ มีเปลือกหนา มีขนหยาบๆปกคลุม ต้นมีสีเขียว ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกตรงข้ามสลับกัน ใบมีลักษณะยาวรี ขอบใบเรียบ มีเส้นกลางใบตามยาวเห็นชัด ก้านใบออกหุ้มรอบๆลำต้น มีขนเล็กๆปกคลุม ผิวใบสากมือ สีเขียว ราก เป็นระบบรากฝอย มีลักษณะกลมเล็กๆ แทงลงในดิน มีรากออกที่ข้อลำต้นที่อยู่ใต้ดิน ออกบริเวณรอบๆลำต้น มีสีน้ำตาล ดอก ออกเป็นช่อ ออกปลายยอด ก้านช่อดอกยาว มีดอกย่อยจำนวนมาก มีลักษณะทรงรีเล็กๆ มีสีขาว มีเกสรสีเหลืองเบาปลิวกระจายได้ ก้านช่อดอกสั้น ผล เป็นเมล็ด อยู่เป็นช่อ มีลักษณะทรงรี เรียวยาวเล็กๆ มีเปลือกแข็งแห้งหุ้มเมล็ด เปลือกเมล็ดอ่อนมีสีเขียว เปลือกเมล็ดมีสีเหลืองทอง ข้างในมีเมล็ดแข็งมาก มีเยื่อหุ้มเมล็ดสีแดงเข้ม เมล็ดมีสีน้ำตาลแดงเข้ม เมื่อหุงสุกแล้วเมล็ดจะร่วนสวย นุ่มเหนียว มีกลิ่นหอม
1. มีสารต้านอนุมูลอิสระ 2. มีฤทธิ์ต้านความซึมเศร้า และวิตกกังวล 3. สกัดจากข้าวดิบจะมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติมโตของเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่
ต้องการอุณหภูมิค่อนข้างสูง ประมาณอุณหภูมิ 21.1°C - 29.9°C. ชอบแสงรำไร อาจขึ้นได้กลางแดด ดินที่ปลูกต้องได้รับการบำรุงอย่างดี และมีความชื้นสูง บอนไม่ชอบแสงแดดจัด ควรมีที่บังแดดให้ต้น เหมาะที่สุดคือแสงแดดรำไร
ต้นบอน มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเขตที่ราบลุ่มของเอเชียอาคเนย์ ซึ่งรวมถึงพื้นที่ของประเทศไทยด้วย โดยจัดเป็นไม้ล้มลุกมีอายุได้หลายปี มีเหง้าลักษณะเป็นรูปทรงกระบอกอยู่ใต้ดิน มักขึ้นเป็นกลุ่ม ๆ หลายต้นเรียงรายตามพื้นที่ลุ่มริมน้ำ มีความสูงของต้นประมาณ 0.7-1.2 เมตร ลำต้นประกอบไปด้วยหัวกลางและหัวย่อยอยู่รอบ ๆ หัวใหญ่ ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการแยกหน่อ ไหล และวิธีการปักชำหัว เจริญเติบโตได้ดีในดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ อุ้มน้ำได้ดี เพาะปลูกได้ง่าย ในประเทศไทยสามารถพบได้ทุกภาค มักขึ้นเองตามที่ลุ่ม บนดินโคลน บริเวณริมน้ำลำธาร หรือบริเวณที่มีน้ำขังตื้น ๆ ใบบอน ใบเป็นใบเดี่ยวเรียงสลับเวียนแผ่ออกรอบต้น ลักษณะของใบเป็นรูปไข่แกมสามเหลี่ยมหรือเป็นรูปหัวใจหรือรูปโล่ ปลายใบแหลม โคนใบเว้าแหลม ใบมีขนาดกว้างประมาณ 10-35 เซนติเมตรและยาวประมาณ 20-50 เซนติเมตร ก้านใบออกที่ตรงกลางแผ่นใบ โคนใบแยกเป็นแฉกสองแฉก ด้านหน้าใบเป็นสีเขียว เรียบไม่เปียกน้ำเพราะผิวใบเคลือบไปด้วยไข (Wax) ส่วนด้านหลังใบเป็นสีเขียวอ่อนหรือม่วงหรือเป็นสีขาวนวล มองเห็นเส้นใบได้ชัดเจน ในแต่ละกอจะมีประมาณ 7-9 ใบ ก้านใบยาวออกจากต้นใต้ดิน ก้านใบยึดกับด้านล่างของใบ ก้านใบเป็นสีเขียวแกมม่วงหรือสีเขียวแกมเหลือง ก้านใบยาวประมาณ 30-90 เซนติเมตร ดอกบอน ออกดอกเป็นช่อเป็นแท่งเดี่ยว ๆ ออกจากลำต้นใต้ดิน มีกาบสีเหลืองอ่อนหรือสีเหลืองนวลหุ้มอยู่ ยาวประมาณ 26 เซนติเมตร ดอกย่อยแยกเพศอยู่ในช่อเดียวกัน ฉ่ำน้ำ (รูปที่ 2 โคนดอกสีเขียวคือดอกเพศเมีย ส่วนสีเหลืองปลายยอดคือดอกเพศผู้) ดอกเป็นกระเปาะสีเขียวเป็นแท่งอยู่ตรงกลาง มีกลิ่นหอมและต่อมาจะกลายเป็นผลเล็ก ๆ จำนวนมากที่ประกอบไปด้วยหัวกลางและหัวย่อยอยู่รอบหัวใหญ่ ผลบอน ผลเป็นผลสดสีเขียว ภายในผลมีเมล็ดน้อย
ต้นบอน มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเขตที่ราบลุ่มของเอเชียอาคเนย์ ซึ่งรวมถึงพื้นที่ของประเทศไทยด้วย โดยจัดเป็นไม้ล้มลุกมีอายุได้หลายปี มีเหง้าลักษณะเป็นรูปทรงกระบอกอยู่ใต้ดิน มักขึ้นเป็นกลุ่ม ๆ หลายต้นเรียงรายตามพื้นที่ลุ่มริมน้ำ มีความสูงของต้นประมาณ 0.7-1.2 เมตร ลำต้นประกอบไปด้วยหัวกลางและหัวย่อยอยู่รอบ ๆ หัวใหญ่ ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการแยกหน่อ ไหล และวิธีการปักชำหัว เจริญเติบโตได้ดีในดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ อุ้มน้ำได้ดี เพาะปลูกได้ง่าย ในประเทศไทยสามารถพบได้ทุกภาค มักขึ้นเองตามที่ลุ่ม บนดินโคลน บริเวณริมน้ำลำธาร หรือบริเวณที่มีน้ำขังตื้น ๆ ใบบอน ใบเป็นใบเดี่ยวเรียงสลับเวียนแผ่ออกรอบต้น ลักษณะของใบเป็นรูปไข่แกมสามเหลี่ยมหรือเป็นรูปหัวใจหรือรูปโล่ ปลายใบแหลม โคนใบเว้าแหลม ใบมีขนาดกว้างประมาณ 10-35 เซนติเมตรและยาวประมาณ 20-50 เซนติเมตร ก้านใบออกที่ตรงกลางแผ่นใบ โคนใบแยกเป็นแฉกสองแฉก ด้านหน้าใบเป็นสีเขียว เรียบไม่เปียกน้ำเพราะผิวใบเคลือบไปด้วยไข (Wax) ส่วนด้านหลังใบเป็นสีเขียวอ่อนหรือม่วงหรือเป็นสีขาวนวล มองเห็นเส้นใบได้ชัดเจน ในแต่ละกอจะมีประมาณ 7-9 ใบ ก้านใบยาวออกจากต้นใต้ดิน ก้านใบยึดกับด้านล่างของใบ ก้านใบเป็นสีเขียวแกมม่วงหรือสีเขียวแกมเหลือง ก้านใบยาวประมาณ 30-90 เซนติเมตร ดอกบอน ออกดอกเป็นช่อเป็นแท่งเดี่ยว ๆ ออกจากลำต้นใต้ดิน มีกาบสีเหลืองอ่อนหรือสีเหลืองนวลหุ้มอยู่ ยาวประมาณ 26 เซนติเมตร ดอกย่อยแยกเพศอยู่ในช่อเดียวกัน ฉ่ำน้ำ (รูปที่ 2 โคนดอกสีเขียวคือดอกเพศเมีย ส่วนสีเหลืองปลายยอดคือดอกเพศผู้) ดอกเป็นกระเปาะสีเขียวเป็นแท่งอยู่ตรงกลาง มีกลิ่นหอมและต่อมาจะกลายเป็นผลเล็ก ๆ จำนวนมากที่ประกอบไปด้วยหัวกลางและหัวย่อยอยู่รอบหัวใหญ่ ผลบอน ผลเป็นผลสดสีเขียว ภายในผลมีเมล็ดน้อย
1. น้ำจากลำต้นใต้ดินเป็นยาแก้ไข้ (น้ำจากลำต้นใต้ดิน) 2. รากนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้อาการเจ็บคอและเสียงแหบแห้ง (ราก) 3. รากนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ท้องเสีย (ราก) 4. หัวใช้เป็นยาระบาย (หัว) 5. ช่วยขับปัสสาวะ (หัว) 6. หัวมีรสเมาคัน ใช้เป็นยาแก้เถาดานในท้อง กัดฝ้าหนอง (หัว) 7. หัวและน้ำจากก้านใบใช้เป็นยาห้ามเลือด (หัว, น้ำจากก้านใบ) 8. ลำต้นนำมาบดใช้เป็นยาพอกรักษาแผล รวมทั้งแผลจากงูกัด (ลำต้น) 9. น้ำจากลำต้นใต้ดินใช้เป็นยาแก้พิษแมลงป่อง (น้ำจากลำต้นใต้ดิน) 10. ก้านใบมีรสเย็นคัน นำมาตัดหัวท้ายออกแล้วนำไปลนไฟบิดเอาน้ำใช้หยอดแผลแก้พิษคางคก (ก้านใบ) 11. น้ำยางใช้เป็นยาถอนพิษจากแมลงสัตว์กัดต่อยได้ (น้ำยาง) 12. ยางใช้เป็นยาช่วยกำจัดหูด (ยาง) 13. ไหล หัว หรือ เหง้านำมาตำผสมกับเหง้าขมิ้น กะปิ ขี้วัว และเหล้าโรงเล็กน้อย ใช้เป็นยาพอกรักษาฝีตะมอย (ไหล) 14. น้ำคั้นจากก้านใบใช้เป็นยานวดแก้อาการฟกช้ำ (น้ำคั้นจากก้านใบ) 15. หัวช่วยขับน้ำนมของสตรี (หัว)
1. กล้วยตากจะมีสารอาหารสำคัญสูญเสียไปบ้าง เช่น วิตามินC เพราะวิตามินC สลายตัวง่ายเมื่อโดนความร้อน แต่สารอาหารอื่นยังมีครับ 2. กล้วย มี น้ำตาลฟลุกโตส ซูโคลส และ กลูโคส ในปริมาณเหมาะสมที่จะไปช่วยเพิ่มพลังกาย และสมอง ซึ่งร่างกายสามารถนำไปใช้ได้ทันที นักกีฬาไทยที่ต้องใช้ความอึด และต้องการพลังงานฉุกเฉิน อย่างนักเทนนิส นักปั่นจักรยาน เราใช้กล้วยตากนี่ละครับ แทน powerbar อาหารให้พลังงานนำเข้าจากต่างประเทศ 3. กล้วยมี เส้นใยอาหาร (Dietary fiber) อยู่ถึง 0.3% ซึ่งจะช่วยให้ระบบขับถ่ายเราดีขึ้น 4. กล้วยมี โปแตสเซียม (Potassium) ช่วยในการ ขับโซเดียมออกจากร่างกาย ทำให้ร่างกายไม่บวมน้ำ และความดันโลหิตไม่สูง ลดอัตราการเสี่ยงโรคหัวใจวาย เส้นโลหิตในสมองแตก 5. กล้วยมี เซโรโทนิน (Serotonin) ช่วย ทำให้จิตใจสบายไม่หงุดหงิด 6. กล้วยมี ไฟโตเคมิคอล (Phytochemical) หลายชนิด ที่สามารถ ต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความแก่ได้
ต้นฟักข้าว มีถิ่นกำเนิดตั้งแต่ในประเทศจีนตอนใต้ พม่า ไทย ลาว เขมร เวียดนาม มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และบังกลาเทศ โดยจัดเป็นพรรณไม้ล้มลุก เป็นไม้เถาเลื้อย อายุยิ่งมากเถายิ่งใหญ่ มีมือเกาะคล้ายกับตำลึง ชอบแสงแดด เลื้อยได้ทั้งบนพื้น บนต้นไม้ บนรั้ว บนหลังคา (ขอให้มีที่เกาะ) ใบฟักข้าว ใบเป็นใบเดี่ยว ใบเป็นรูปหัวใจหรือรูปไข่ คล้ายกับใบโพธิ์ ความกว้างและความยาวของใบมีขนาดเท่ากัน โดยยาวประมาณ 6-15 เซนติเมตร ขอบใบหยักเว้าลึกเป็นแฉก ประมาณ 3-5 แฉก ดอกฟักข้าว ดอกจะออกตรงบริเวณข้อต่อระหว่างใบหรือตามซอกใบ โดยจะออกดอกข้อละหนึ่งดอก ลักษณะของดอกฟักข้าวจะคล้ายกับดอกตำลึง กลีบดอกมีสีขาวอมเหลือง หรือขาวแกมเหลือง ส่วนก้านเกสรและกลีบละอองจะมีสีม่วงแกมดำหรือสีม่วงแกมน้ำตาล ใบเลี้ยงประดับมีขน โดยดอกฟักข้าวจะเป็นดอกแบบไม่สมบูรณ์เพศ แยกเป็นดอกเพศเมียและดอกเพศผู้จะอยู่ต่างต้นกัน ดอกเพศเมียจะมีขนาดเล็ก ปลายใบมน ส่วนดอกเพศผู้ปลายใบแหลม ดอกฟักข้าวมีสีเหลือง มีกลีบดอก 5 กลีบ ผลฟักข้าว มีลักษณะคล้ายรูปไข่กลมรี ที่เปลือกมีหนามเล็ก ๆ อยู่รอบผล ผลอ่อนจะมีสีเขียวอมเหลือง แต่เมื่อสุกแล้วผลจะมีสีแดงหรือสีส้มอมแดง ผลสุกเนื้อจะเป็นสีเหลือง มีเยื่อกลางหุ้มเมล็ดเป็นสีแดง เมล็ดฟักข้าว ภายในผลมีเมล็ดสีน้ำตาลจำนวนมากเรียงตัวอยู่คล้ายเมล็ดแตง ด้านในเมล็ดมีเนื้อสีขาว (เมล็ดดิบมีพิษ ต้องคั่วหรือต้มให้สุกก่อนนำมาใช้)
ต้นฟักข้าว มีถิ่นกำเนิดตั้งแต่ในประเทศจีนตอนใต้ พม่า ไทย ลาว เขมร เวียดนาม มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และบังกลาเทศ โดยจัดเป็นพรรณไม้ล้มลุก เป็นไม้เถาเลื้อย อายุยิ่งมากเถายิ่งใหญ่ มีมือเกาะคล้ายกับตำลึง ชอบแสงแดด เลื้อยได้ทั้งบนพื้น บนต้นไม้ บนรั้ว บนหลังคา (ขอให้มีที่เกาะ) ใบฟักข้าว ใบเป็นใบเดี่ยว ใบเป็นรูปหัวใจหรือรูปไข่ คล้ายกับใบโพธิ์ ความกว้างและความยาวของใบมีขนาดเท่ากัน โดยยาวประมาณ 6-15 เซนติเมตร ขอบใบหยักเว้าลึกเป็นแฉก ประมาณ 3-5 แฉก ดอกฟักข้าว ดอกจะออกตรงบริเวณข้อต่อระหว่างใบหรือตามซอกใบ โดยจะออกดอกข้อละหนึ่งดอก ลักษณะของดอกฟักข้าวจะคล้ายกับดอกตำลึง กลีบดอกมีสีขาวอมเหลือง หรือขาวแกมเหลือง ส่วนก้านเกสรและกลีบละอองจะมีสีม่วงแกมดำหรือสีม่วงแกมน้ำตาล ใบเลี้ยงประดับมีขน โดยดอกฟักข้าวจะเป็นดอกแบบไม่สมบูรณ์เพศ แยกเป็นดอกเพศเมียและดอกเพศผู้จะอยู่ต่างต้นกัน ดอกเพศเมียจะมีขนาดเล็ก ปลายใบมน ส่วนดอกเพศผู้ปลายใบแหลม ดอกฟักข้าวมีสีเหลือง มีกลีบดอก 5 กลีบ ผลฟักข้าว มีลักษณะคล้ายรูปไข่กลมรี ที่เปลือกมีหนามเล็ก ๆ อยู่รอบผล ผลอ่อนจะมีสีเขียวอมเหลือง แต่เมื่อสุกแล้วผลจะมีสีแดงหรือสีส้มอมแดง ผลสุกเนื้อจะเป็นสีเหลือง มีเยื่อกลางหุ้มเมล็ดเป็นสีแดง เมล็ดฟักข้าว ภายในผลมีเมล็ดสีน้ำตาลจำนวนมากเรียงตัวอยู่คล้ายเมล็ดแตง ด้านในเมล็ดมีเนื้อสีขาว (เมล็ดดิบมีพิษ ต้องคั่วหรือต้มให้สุกก่อนนำมาใช้)
ผลอ่อนและใบอ่อนช่วยลดน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานได้ (ผลอ่อน, ยอดฟักข้าว) ช่วยบำรุงปอด ช่วยแก้ฝีในปอด (เมล็ด) ใบฟักข้าวมีรสขมเย็น มีสรรพคุณช่วยแก้ไข้ตัวร้อนได้ (ใบ) รากช่วยถอนพิษไข้ (ราก) ช่วยขับเสมหะ (ราก) ช่วยแก้ท่อน้ำดีอุดตัน (เมล็ด) ช่วยขับปัสสาวะ (เมล็ด) ใบช่วยแก้ริดสีดวง (ใบ) ใบนำมาตำใช้พอกแก้อาการปวดหลังได้ (ใบ) ช่วยแก้กระดูกเดาะ (ใบ) ช่วยแก้ข้อเข่า อาการปวดตามข้อ (ราก) เมล็ดแก่นำมาบดให้แห้ง ผสมน้ำมันหรือน้ำส้มสายชูเล็กน้อย นำมาใช้ทาบริเวณที่มีอาการอักเสบ อาการบวม จะช่วยรักษาอาการได้ และยังช่วยรักษากลากเกลื้อน โรคผิวหนัง ผดผื่นคันต่าง ๆ อาการฟกช้ำได้อีกด้วย (เมล็ดแก่) รากใช้ต้มดื่มช่วยถอนพิษทั้งปวง (ราก) ใบช่วยถอนพิษอักเสบ (ใบ) ช่วยแก้พิษ แก้ฝี (ใบ) ช่วยแก้ฝีมะม่วง (ใบ) ฟักข้าว สรรพคุณใบช่วยแก้หูด (ใบ) เมล็ดฟักข้าว สามารถนำมาใช้แทนเมล็ดแสลงใจได้ (โกฐกะกลิ้ง)
คะน้าเม็กซิโก สามารถเจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนที่มีความชื้นและอุดมสมบูรณ์ มีการระบายน้ำได้ดี ต้องการแสงแดดแบบเต็มวัน ควรให้น้ำและปุ๋ยอินทรีย์ตามความต้องการของพืช เป็นพืชที่ปลูกง่าย เจริญเติบโตได้รวดเร็วมาก หลังจากปลูกไปได้ประมาณ 60 วันก็สามารถเก็บผลผลิตมารับประทานได้แล้ว ส่วนแมลงศัตรูพืชมักเป็นพวกมดที่ชอบทำรังอยู่บนต้นไม้
คะน้าเม็กซิโก เป็นไม้ยืนต้นทรงพุ่ม ที่จัดเป็นพืชในวงศ์เดียวกันกับยางพาราและสบู่ดำ มีอายุอยู่ได้นานหลายปี มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเขตร้อนของประเทศเม็กซิโก ในแถบของคาบสมุทรยูกาตัน พบมีการกระจายพันธุ์อยู่ในกัวเตมาลา และอเมริกากลาง ลำต้นมีลักษณะอวบน้ำ มีความสูงของลำต้นประมาณ 2-6 เมตร เปลือกลำต้นเป็นสีน้ำตาลมีน้ำยางสีขาวอยู่ภายใน ลักษณะของใบคล้ายกับใบเมเปิ้ล ขอบใบแยกออกเป็น 3-4 แฉก ออกดอกเป็นช่อบริเวณปลายกิ่ง ในแต่ละช่อประกอบไปด้วยดอกย่อยจำนวนมาก มีทรงพุ่มขนาดใหญ่ เจริญเติบโตได้รวดเร็ว นิยมนำใบและยอดอ่อนมาปรุงเป็นอาหาร โดยทั่วไปมักตัดทรงพุ่มให้สูงแค่ประมาณ 2 เมตร เพื่อให้สะดวกต่อการเก็บเกี่ยว
คะน้าเม็กซิโก เป็นไม้ยืนต้นทรงพุ่ม ที่จัดเป็นพืชในวงศ์เดียวกันกับยางพาราและสบู่ดำ มีอายุอยู่ได้นานหลายปี มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเขตร้อนของประเทศเม็กซิโก ในแถบของคาบสมุทรยูกาตัน พบมีการกระจายพันธุ์อยู่ในกัวเตมาลา และอเมริกากลาง ลำต้นมีลักษณะอวบน้ำ มีความสูงของลำต้นประมาณ 2-6 เมตร เปลือกลำต้นเป็นสีน้ำตาลมีน้ำยางสีขาวอยู่ภายใน ลักษณะของใบคล้ายกับใบเมเปิ้ล ขอบใบแยกออกเป็น 3-4 แฉก ออกดอกเป็นช่อบริเวณปลายกิ่ง ในแต่ละช่อประกอบไปด้วยดอกย่อยจำนวนมาก มีทรงพุ่มขนาดใหญ่ เจริญเติบโตได้รวดเร็ว นิยมนำใบและยอดอ่อนมาปรุงเป็นอาหาร โดยทั่วไปมักตัดทรงพุ่มให้สูงแค่ประมาณ 2 เมตร เพื่อให้สะดวกต่อการเก็บเกี่ยว
คะน้าเม็กซิโกเป็นแหล่งของสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น โปรตีน, วิตามิน, แคลเซียม, โพแทสเซียม, เหล็ก, เส้นใย และสารต้านอนุมูลอิสระ เป็นผักที่มีก้านใบและยอดอ่อนกรอบอร่อยเหมือนผักคะน้า ไม่ขม ไม่มีกลิ่นเหม็นเขียว สามารถนำมาปรุงเป็นอาหารได้หลายอย่าง และยังมีสรรพคุณทางยาที่ช่วยให้โลหิตหมุนเวียนได้ดี ช่วยให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติ ช่วยบำรุงสายตา บรรเทาอาการของโรคริดสีดวงทวาร ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย ใช้ควบคุมน้ำหนัก ทำให้กระดูกแข็งแรง ช่วยฆ่าเชื้อในปอด ป้องกันการไอ ป้องกันการเกิดภาวะโลหิตจาง บำรุงสมองให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ป้องกันการเกิดโรคไขข้ออักเสบ และโรคเบาหวาน
สภาพไร่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ของดินดี มีอากาศเย็น และระดับความสูงประมาณ 400-800 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง
เป็นข้าวเหนียวดำ สูงประมาณ 151 เซนติเมตร - ไวต่อช่วงแสง อายุเบา เก็บเกี่ยวประมาณกลางเดือนตุลาคม - ทรงกอตั้ง ต้นแข็ง ไม่ล้มง่าย ปล้องสีเหลืองอ่อน กาบใบและใบสีเขียว ลิ้นใบสีน้ำตาลอ่อน หูใบสีเหลืองน้ำตาล ใบธงหักลง คอรวงยาว รวงค่อนข้างแน่น - กลีบดอกระยะออกรวง 50 % มีสีเขียวอ่อน เมื่อระยะน้ำนมกลีบดอกจะเปลี่ยนเป็นแถบสีม่วงบนพื้นสีเขียวอ่อน เมื่อเข้าสู่ระยะแป้งแข็งสีกลีบดอกจะเปลี่ยนเป็นสีฟางแถบม่วงดำ และเมื่อระยะข้าวสุกแก่สีเปลือกเมล็ดเปลี่ยนสีฟางแถบดำหรือสีฟาง - เมล็ดข้าวเปลือกสีฟางแถบดำ - ระยะพักตัวของเมล็ดประมาณ 5 สัปดาห์ - เมล็ดข้าวเปลือก ยาว x กว้าง x หนา = 10.7 x 3.7 x 2.2 มิลลิเมตร - เมล็ดข้าวกล้อง ยาว x กว้าง x หนา = 7.9 x 2.8 x 1.9 มิลลิเมตร - คุณภาพการสีดีได้ข้าวเต็มเมล็ด
เป็นข้าวเหนียวดำ สูงประมาณ 151 เซนติเมตร - ไวต่อช่วงแสง อายุเบา เก็บเกี่ยวประมาณกลางเดือนตุลาคม - ทรงกอตั้ง ต้นแข็ง ไม่ล้มง่าย ปล้องสีเหลืองอ่อน กาบใบและใบสีเขียว ลิ้นใบสีน้ำตาลอ่อน หูใบสีเหลืองน้ำตาล ใบธงหักลง คอรวงยาว รวงค่อนข้างแน่น - กลีบดอกระยะออกรวง 50 % มีสีเขียวอ่อน เมื่อระยะน้ำนมกลีบดอกจะเปลี่ยนเป็นแถบสีม่วงบนพื้นสีเขียวอ่อน เมื่อเข้าสู่ระยะแป้งแข็งสีกลีบดอกจะเปลี่ยนเป็นสีฟางแถบม่วงดำ และเมื่อระยะข้าวสุกแก่สีเปลือกเมล็ดเปลี่ยนสีฟางแถบดำหรือสีฟาง - เมล็ดข้าวเปลือกสีฟางแถบดำ - ระยะพักตัวของเมล็ดประมาณ 5 สัปดาห์ - เมล็ดข้าวเปลือก ยาว x กว้าง x หนา = 10.7 x 3.7 x 2.2 มิลลิเมตร - เมล็ดข้าวกล้อง ยาว x กว้าง x หนา = 7.9 x 2.8 x 1.9 มิลลิเมตร - คุณภาพการสีดีได้ข้าวเต็มเมล็ด
สารต้านอนุมูลอิสระ เช่น แอนโทไซยานิน และแกมมาโอไรซานอล กรดไขมันไม่อิ่มตัว เช่น โอเมกา 3 โอเมกา 6 และโอเมกา 9 วิตามิน เช่น วิตามิน บี1 และวิตามิน บี2 ธาตุอาหารอื่น ๆ เช่น เหล็ก แคลเซียม และแมงกานีส คุณค่าทางโภชนาการเหล่านี้ สามารถป้องกันการเกิดโรคหัวใจ ลดการแข็งตัวของเลือด ลดการขยายตัวของเซลล์มะเร็ง ช่วยบำรุงตับ ป้องกันโรคสมองเสื่อมหรือโรคอัลไซเมอร์ ลดไขมันในเส้นเลือด โรคเบาหวาน รวมไปถึงโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศในชายและหญิง เป็นต้น
เป็นข้าวนาปี 150 วัน เหมาะสมหรับปลูกพื้นที่ภาคเหนือ ความสูงจากระดับน้ำทะเล 400-800 เมตร
600 กิโลกรัมต่อไร่
เป็นข้าวเหนียว สูงประมาณ 150 เซนติเมตร ไวต่อช่วงแสง ลำต้นและขอบใบสีม่วง แต่เมื่อแก่จะเปลี่ยนเป็นสีเขียว กอค่อนข้างแผ่ เมล็ดสั้นป้อม ข้าวเปลือกสีฟางกระน้ำตาล ก้นจุด อายุเก็บเกี่ยว ประมาณ 20 พฤศจิกายน ระยะพักตัวของเมล็ด ประมาณ 1 สัปดาห์ เมล็ดข้าวเปลือก ยาว x กว้าง x หนา = 9.8 x 2.4 x 2.2 มิลลิเมตร เมล็ดข้าวกล้อง ยาว x กว้าง x หนา = 6.6 x 2.9 x 2.0 มิลลิเมตร
เป็นข้าวเหนียว สูงประมาณ 150 เซนติเมตร ไวต่อช่วงแสง ลำต้นและขอบใบสีม่วง แต่เมื่อแก่จะเปลี่ยนเป็นสีเขียว กอค่อนข้างแผ่ เมล็ดสั้นป้อม ข้าวเปลือกสีฟางกระน้ำตาล ก้นจุด อายุเก็บเกี่ยว ประมาณ 20 พฤศจิกายน ระยะพักตัวของเมล็ด ประมาณ 1 สัปดาห์ เมล็ดข้าวเปลือก ยาว x กว้าง x หนา = 9.8 x 2.4 x 2.2 มิลลิเมตร เมล็ดข้าวกล้อง ยาว x กว้าง x หนา = 6.6 x 2.9 x 2.0 มิลลิเมตร
ออกฤทธิ์ช่วยระบายขับถ่ายของเสียออกได้ดี ช่วยบำรุงหัวใจ จากการลดระดับความดันในเส้นเลือด และลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเส้นเลือดหัวใจอุดตัน มีส่วนช่วยลดคลอเลสเตอรอลในเลือดได้ กลิ่นหอมๆ จากชากุหลาบ ช่วยกระตุ้นให้ระบบประสาททำงานได้ดี สมองแจ่มใส ร่างกายสดชื่นผ่อนคลาย เป็นแหล่งของวิตามินซี มีส่วนช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ช่วยทำให้ผิวพรรณแลดูสดใสเปล่งปลั่ง ช่วยปรับฮอร์โมนให้สมดุลสำหรับบุคคลที่มีปัญหาเรื่องประจำเดือน
โรงเพาะปลูก
ต้นอ่อน
ต้นอ่อน
1. มีส่วนช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส มีน้ำมีนวล 2. มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยในการชะลอวัย ความแก่ชรา และชะลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัย 3. มีส่วนช่วยป้องกันการเกิดหรือลดอัตราการเกิดของโรคมะเร็งได้ 4. ช่วยบำรุงสายตา รักษาอาการตาต้อ ตาฝ้าฟาง ตาแดง สายตาสั้น อาการคันนัยน์ตาบ่อย ๆ 5. ช่วยบำรุงธาตุ 6. สรรพคุณของผักบุ้งต้นสดของผักบุ้งใช้เป็นยาดับร้อน แก้อาการร้อนใน 7. ต้นสดของผักบุ้งช่วยในการบำรุงโลหิต 8. ช่วยเสริมสร้างศักยภาพในด้านความจำและการเรียนรู้ให้ดีขึ้น 9. ยอดผักบุ้งช่วยแก้โรคประสาท 10. ช่วยแก้อาการเหงื่อออกมาก (รากผักบุ้ง) 11. มีส่วนช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ป้องกันการเกิดโรคเบาหวาน 12. ช่วยแก้อาการปวดศีรษะ อ่อนเพลีย 13. ต้นสดของผักบุ้งไทยต้นขาวช่วยบำรุงกระดูกและฟัน 14. ช่วยแก้อาการเหงือกบวม 15. ช่วยรักษาแผลร้อนในในปาก ด้วยการนำผักบุ้งสดมาผสมเกลือ อมไว้ในปากประมาณ 2 นาที วันละ 2 ครั้ง 16. ฟันเป็นรูปวด ให้ใช้รากสด 120 กรัม ผสมกับน้ำส้มสายชู คั้นเอาน้ำมาบ้วนปาก 17. ใช้แก้อาการไอเรื้อรัง (รากผักบุ้ง) 18. แก้เลือดกำเดาไหลออกมากผิดปกติ ด้วยการใช้ต้นสดมาตำผสมน้ำตาลทรายแล้วนำมาชงน้ำร้อนดื่ม 19. ใช้แก้โรคหืด (รากผักบุ้ง) 20. ช่วยป้องกันการเกิดโรคกระเพาะอาหาร 21. ช่วยป้องกันการเกิดโรคแผลในกระเพาะอาหารจากผลของยาแอสไพริน 22. ช่วยป้องกันโรคท้องผูก 23. ยอดผักบุ้งมีส่วนช่วยแก้อาการเสื่อมสมรรถภาพ 24. ช่วยทำความสะอาดของเสียที่ตกค้างในลำไส้ 25. ผักบุ้งจีนมีฤทธิ์ช่วยในการขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะเหลือง 26. ช่วยแก้อาการปัสสาวะเป็นเลือด ถ่ายออกมาเป็นเลือด ด้วยการใช้ลำต้นคั้นนำน้ำมาผสมกับน้ำผึ้งดื่ม 27. ช่วยแก้หนองใน ด้วยการใช้ลำต้นคั้นนำน้ำมาผสมกับน้ำผึ้งดื่ม 28. ช่วยแก้ริดสีดวงทวาร ด้วยการใช้ต้นสด 1 กิโล / น้ำ 1 ลิตร นำมาต้มให้เละ เอากากทิ้งแล้วใส่น้ำตาลทรายขาว 120 กรัม แล้วเคี่ยวจนข้นหนืด รับประทานครั้งละ 90 กรัม วันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น 29. ช่วยแก้อาการตกขาวมากของสตรี (รากผักบุ้ง) 30. ผักบุ้งรสเย็นมีสรรพคุณช่วยถอนพิษเบื่อเมา 31. รากผักบุ้งรสจืดเฝื่อนมีสรรพคุณช่วยถอนพิษสำแดง 32. ผักบุ้งขาวหรือผักบุ้งจีนช่วยให้เจริญอาหาร 33. ช่วยต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย 34. ช่วยแก้อาการฟกช้ำ (ผักบุ้งไทยต้นขาว) 35. ดอกของผักบุ้งไทยต้นขาวใช้เป็นยาแก้กลากเกลื้อน 36. ใช้ถอนพิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย (ผักบุ้งไทยต้นขาว) 37. แก้แผลมีหนองช้ำ ด้วยการใช้ต้นสดต้มน้ำให้เดือดนาน ๆ ทิ้งไว้พออุ่นแล้วเอาน้ำล้างแผลวันละครั้ง 38. ช่วยแก้พิษตะขาบกัด ด้วยการใช้ต้นสดเติมเกลือ นำมาตำแล้วพอกบริเวณที่ถูกกัด 39. ต้นสดของผักบุ้งไทยต้นขาวใช้รักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก 40. ต้นสดของผักบุ้งไทยต้นขาวช่วยลดการอักเสบ อาการปวดบวม 41. ช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย 42. ใช้บำบัดรักษาผู้ป่วยยาเสพติดหรือผู้ที่ได้รับสารพิษต่าง ๆ เช่น เกษตรกร เป็นต้น
ไมโครกรีน คือต้นกล้าขนาดเล็ก หรือต้นอ่อนที่เพาะจากเมล็ดของพืช ผัก สมุนไพรชนิดต่างๆ และเจริญเติบโตจนมีใบจริง 2-3 ใบ ขนาดความสูงของต้นกล้าขนาดที่รับประทานได้ประมาณ 2-3 นิ้ว และมีคุณค่าทางสารอาหารมากกว่าผักชนิดเดียวกันที่โตเต็มที่แล้ว 5-40 เท่า แล้วแต่ชนิดผัก
โรงเพาะปลูก
ต้นอ่อน
ต้นอ่อน
ไมโครกรีน คือต้นกล้าขนาดเล็ก หรือต้นอ่อนที่เพาะจากเมล็ดของพืช ผัก สมุนไพรชนิดต่างๆ และเจริญเติบโตจนมีใบจริง 2-3 ใบ ขนาดความสูงของต้นกล้าขนาดที่รับประทานได้ประมาณ 2-3 นิ้ว และมีคุณค่าทางสารอาหารมากกว่าผักชนิดเดียวกันที่โตเต็มที่แล้ว 5-40 เท่า แล้วแต่ชนิดผัก
ไควาเระนั้นเป็นภาษาญี่ปุ่น หมายถึงต้นอ่อนหัวไช้เท้า (ไควาเระ ไดกง – kaiware Daikon) เป็นผักที่ชาวญี่ปุ่นนิยมรับประทาน ไม่ว่าจะเป็น ทานสด ๆ ทานเป็นเครื่องเคียงปูอัดวาซาบิ หรือผสมในสลัด ซุป อาจลวกแป๊บเดียวก่อนนำไปประกอบอาหาร รสชาติออกซ่า ๆ เผ็ดนิด ๆ มีกลิ่นและรสชาติเฉพาะตัว
โรงเพาะปลูก
ต้นอ่อน
ต้นอ่อน
1. ลดความอยากอาหาร 2. ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต 3. เพิ่มประสิทธิภาพในการย่อยอาหาร 4. รักษาโรคไขข้ออักเสบ 5. บรรเทาอาการอ่อนเพลีย 6. ช่วยลดกลิ่นปากและกลิ่นตัว 7. รักษาแผลบนผิวหนัง 8. ป้องกันฟันผุ 9. ช่วยล้างพิษตับ 10. รักษาผิวหนังที่ได้รับความเสียหายจากแสงแดด 11.ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือด 12. ช่วยล้างโพรงจมูกที่ติดขัด 13. ช่วยฟื้นฟูสภาพผิว 14. ป้องกันโรคมะเร็ง 15. เพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย
ไมโครกรีน คือต้นกล้าขนาดเล็ก หรือต้นอ่อนที่เพาะจากเมล็ดของพืช ผัก สมุนไพรชนิดต่างๆ และเจริญเติบโตจนมีใบจริง 2-3 ใบ ขนาดความสูงของต้นกล้าขนาดที่รับประทานได้ประมาณ 2-3 นิ้ว และมีคุณค่าทางสารอาหารมากกว่าผักชนิดเดียวกันที่โตเต็มที่แล้ว 5-40 เท่า แล้วแต่ชนิดผัก
โรงเพาะปลูก
ต้นอ่อน
ต้นอ่อน
1. ต้นอ่อนทานตะวันช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ป้องกันโรคไขมันในเส้นเลือด 2. ประโยชน์ของต้นอ่อนทานตะวันป้องกันโรคหลายชนิด เช่น มะเร็ง เบาหวาน อัลไซเมอร์ เนื่องจากในต้นอ่อนทานตะวันมีสาร GABA (gamma aminobotyric acid) 3. ต้นอ่อนทานตะวันช่วยควบคุมน้ำหนัก และดูแลผิวพรรณ วิตามิน B1 วิตามินB6 โอเมก้า 3, 6, 9 4. ต้นอ่อนทานตะวันช่วยบำรุงเซลล์สมอง ป้องกันการเกิดโรคอัลไซเมอร์ ด้วยธาตุเหล็ก 5. ต้นอ่อนทานตะวันมีสรรพคุณบำรุงสายตา รวมถึงชะลอความแก่ 6. ต้นอ่อนทานตะวันช่วยป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ 7. ต้นอ่อนทานตะวันช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง เนื่องจากต้นอ่อนทานตะวันมีแคลเซียมสูง 8. ประโยชน์ของต้นอ่อนทานตะวันต่อสตรีมีครรภ์ ต้นอ่อนทานตะวันมีสารอาหารโฟเลทสูง หากสตรีมีครรภ์ได้รับประทานจะมีผลดีต่อสุขภาพทั้งของตนเองและทารกในครรภ์
ไมโครกรีน คือต้นกล้าขนาดเล็ก หรือต้นอ่อนที่เพาะจากเมล็ดของพืช ผัก สมุนไพรชนิดต่างๆ และเจริญเติบโตจนมีใบจริง 2-3 ใบ ขนาดความสูงของต้นกล้าขนาดที่รับประทานได้ประมาณ 2-3 นิ้ว และมีคุณค่าทางสารอาหารมากกว่าผักชนิดเดียวกันที่โตเต็มที่แล้ว 5-40 เท่า แล้วแต่ชนิดผัก
โรงเพาะปลูก
ต้นอ่อน
ต้นอ่อน
ใยอาหารในถั่วแดงหลวงช่วยกระตุ้นการขับถ่าย และป้องกันอาการท้องผูก รวมถึงช่วยขจัดสารตกค้างหรือพิษตกค้างที่สะสมในระบบทางเดินอาหาร และลำไส้ สีแดงหรือสีม่วงแดงในถั่วแดงหลวงประกอบด้วยสารแอนโธไซยานินทำหน้าที่เป็นสารต้านออกซิเดชันได้อย่างดี ช่วยป้องกันการเสื่อมของเซลล์ ผิวพรรณไม่คล้ำหมอง แลดูสดใส และไม่แก่เกินวัย ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ลดความเสี่ยงการเกิดโรคในระบบหัวใจ และหลอดเลือด ช่วยขับปัสสาวะ รักษาอาการชาตามนิ้วมือ นิ้วเท้า ช่วยขับพิษออกจากร่างกาย ช่วยแก้อาการประจำเดือนมาไม่ปกติ ช่วยลดอาการบวมน้ำ ช่วยบรรเทาอาการปวดตามข้อ ต้านอาการอักเสบ กระตุ้นการหายของแผลให้หายเร็ว
ไมโครกรีน คือต้นกล้าขนาดเล็ก หรือต้นอ่อนที่เพาะจากเมล็ดของพืช ผัก สมุนไพรชนิดต่างๆ และเจริญเติบโตจนมีใบจริง 2-3 ใบ ขนาดความสูงของต้นกล้าขนาดที่รับประทานได้ประมาณ 2-3 นิ้ว และมีคุณค่าทางสารอาหารมากกว่าผักชนิดเดียวกันที่โตเต็มที่แล้ว 5-40 เท่า แล้วแต่ชนิดผัก
ลำต้น ถั่วแดงหลวงเป็นพืชล้มลุกอายุฤดูเดียว ลำต้นตั้งตรง แตกกิ่งแขนงออกเป็นทรงพุ่มเตี้ยๆ คล้ายกับลำต้นถั่วเหลือง สูงประมาณ 40-65 เซนติเมตร ใบ ใบถั่วแดงหลวงเป็นใบประกอบ ออกเรียงกันเป็นใบเดี่ยวตามข้อกิ่ง แต่ละใบมีก้านใบทรงกลม ก้านใบมีขอบโค้งงุ้ม และเป็นร่องตรงกลาง ถัดมาเป็นใบย่อย จำนวน 3 ใบ ใบย่อยคู่แรกอยู่ตรงข้ามกัน ส่วนอีกใบอยู่ตรงกลาง ใบย่อยแต่ละใบมีรูปหอก มีขนาดไม่เท่ากัน กว้างประมาณ 5-10 เซนติเมตร ยาวประมาณ 8-15 เซนติเมตร โคนใบเป็นฐานกว้าง ปลายใบแหลม แผ่นใบ และขอบใบเรียบ สีเขียวสด และมีขนปกคลุม แผ่นใบมีเส้นใบหลัก 3 เส้น ดอก ถั่วแดงหลวงออกดอกเป็นช่อ เป็นดอกสมบูรณ์เพศที่มีเกสรตัวผู้และตัวเมียในดอกเดียวกัน มีกลีบเลี้ยงสีเขียวอ่อนใต้ฐานดอก 5 กลีบ ส่วนกลีบดอกมี 5 กลีบ แผ่นกลีบดอกมีสีขาว หรือสีชมพู ขึ้นกับสายพันธุ์ แผ่นกลีบ และขอบกลีบย่น ปลายกลีบโค้งมน ฝัก และเมล็ด ฝักถั่วแดงหลวงมีลักษณะคล้ายฝักถั่วเหลือง เป็นรูปทรงกระบอก เรียวยาว ฝักกว้างประมาณ 1.2-1.5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 8-10 เซนติเมตร ฝักอ่อนมีสีเขียว ฝักแก่มีสีน้ำตาลอ่อนหรือสีดำ ภายในมีเมล็ด 3-6 เมล็ด เมล็ดอ่อนมีสีขาว แล้วค่อยเปลี่ยนเป็นสีเขียว และแก่เต็มที่เป็นสีแดง สีแดงเข้ม สีแดงชมพู ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ขนาดเมล็ดกว้างประมาณ 0.4-0.5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 0.8-1.5 เซนติเมตร
ลำต้น ถั่วแดงหลวงเป็นพืชล้มลุกอายุฤดูเดียว ลำต้นตั้งตรง แตกกิ่งแขนงออกเป็นทรงพุ่มเตี้ยๆ คล้ายกับลำต้นถั่วเหลือง สูงประมาณ 40-65 เซนติเมตร ใบ ใบถั่วแดงหลวงเป็นใบประกอบ ออกเรียงกันเป็นใบเดี่ยวตามข้อกิ่ง แต่ละใบมีก้านใบทรงกลม ก้านใบมีขอบโค้งงุ้ม และเป็นร่องตรงกลาง ถัดมาเป็นใบย่อย จำนวน 3 ใบ ใบย่อยคู่แรกอยู่ตรงข้ามกัน ส่วนอีกใบอยู่ตรงกลาง ใบย่อยแต่ละใบมีรูปหอก มีขนาดไม่เท่ากัน กว้างประมาณ 5-10 เซนติเมตร ยาวประมาณ 8-15 เซนติเมตร โคนใบเป็นฐานกว้าง ปลายใบแหลม แผ่นใบ และขอบใบเรียบ สีเขียวสด และมีขนปกคลุม แผ่นใบมีเส้นใบหลัก 3 เส้น ดอก ถั่วแดงหลวงออกดอกเป็นช่อ เป็นดอกสมบูรณ์เพศที่มีเกสรตัวผู้และตัวเมียในดอกเดียวกัน มีกลีบเลี้ยงสีเขียวอ่อนใต้ฐานดอก 5 กลีบ ส่วนกลีบดอกมี 5 กลีบ แผ่นกลีบดอกมีสีขาว หรือสีชมพู ขึ้นกับสายพันธุ์ แผ่นกลีบ และขอบกลีบย่น ปลายกลีบโค้งมน ฝัก และเมล็ด ฝักถั่วแดงหลวงมีลักษณะคล้ายฝักถั่วเหลือง เป็นรูปทรงกระบอก เรียวยาว ฝักกว้างประมาณ 1.2-1.5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 8-10 เซนติเมตร ฝักอ่อนมีสีเขียว ฝักแก่มีสีน้ำตาลอ่อนหรือสีดำ ภายในมีเมล็ด 3-6 เมล็ด เมล็ดอ่อนมีสีขาว แล้วค่อยเปลี่ยนเป็นสีเขียว และแก่เต็มที่เป็นสีแดง สีแดงเข้ม สีแดงชมพู ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ขนาดเมล็ดกว้างประมาณ 0.4-0.5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 0.8-1.5 เซนติเมตร
ใยอาหารในถั่วแดงหลวงช่วยกระตุ้นการขับถ่าย และป้องกันอาการท้องผูก รวมถึงช่วยขจัดสารตกค้างหรือพิษตกค้างที่สะสมในระบบทางเดินอาหาร และลำไส้ สีแดงหรือสีม่วงแดงในถั่วแดงหลวงประกอบด้วยสารแอนโธไซยานินทำหน้าที่เป็นสารต้านออกซิเดชันได้อย่างดี ช่วยป้องกันการเสื่อมของเซลล์ ผิวพรรณไม่คล้ำหมอง แลดูสดใส และไม่แก่เกินวัย ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ลดความเสี่ยงการเกิดโรคในระบบหัวใจ และหลอดเลือด ช่วยขับปัสสาวะ รักษาอาการชาตามนิ้วมือ นิ้วเท้า ช่วยขับพิษออกจากร่างกาย ช่วยแก้อาการประจำเดือนมาไม่ปกติ ช่วยลดอาการบวมน้ำ ช่วยบรรเทาอาการปวดตามข้อ ต้านอาการอักเสบ กระตุ้นการหายของแผลให้หายเร็ว
ประเภท พืชล้มลุก วงศ์ถั่ว พืชปลูกฤดูเดียว ไวต่อช่วงแสงวันสั้น ราก/หัว ระบบรากแก้ว ต้น ลำต้นเป็นพุ่มไม่ทอดยอด แตกกิ่งปานกลาง ต้นสูงประมาณ 20-25 เซนติเมตร ลำต้นปกคลุมด้วยขนสีขาว ใบ มีใบประกอบ 3 ใบ ลักษณะใบค่อนข้างกลมมน สีเขียวเข้ม ก้านใบยาวพอประมาณ ดอก/ช่อดอก ดอกสีเหลืองอ่อน เป็นดอกสมบูรณ์เพศ ผล/ฝัก ฝักยาวตรง มีเมล็ด 5-10 เมล็ดต่อฝัก สีฝักเปลี่ยนเป็นสีขาวเมื่อฝักแก่ เมล็ด เมล็ดกลม เปลือกเมล็ดมีสีแดงสด ตาสีขาว น้ำหนัก 100 เมล็ดประมาณ 12.00-13.00 กรัม
ประเภท พืชล้มลุก วงศ์ถั่ว พืชปลูกฤดูเดียว ไวต่อช่วงแสงวันสั้น ราก/หัว ระบบรากแก้ว ต้น ลำต้นเป็นพุ่มไม่ทอดยอด แตกกิ่งปานกลาง ต้นสูงประมาณ 20-25 เซนติเมตร ลำต้นปกคลุมด้วยขนสีขาว ใบ มีใบประกอบ 3 ใบ ลักษณะใบค่อนข้างกลมมน สีเขียวเข้ม ก้านใบยาวพอประมาณ ดอก/ช่อดอก ดอกสีเหลืองอ่อน เป็นดอกสมบูรณ์เพศ ผล/ฝัก ฝักยาวตรง มีเมล็ด 5-10 เมล็ดต่อฝัก สีฝักเปลี่ยนเป็นสีขาวเมื่อฝักแก่ เมล็ด เมล็ดกลม เปลือกเมล็ดมีสีแดงสด ตาสีขาว น้ำหนัก 100 เมล็ดประมาณ 12.00-13.00 กรัม
1. ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเส้นเลือดในสมองปริแตกได้ 2. ช่วยขับพิษในร่างกาย 3. ในถั่วยังอุดมไปด้วยเส้นใยอาหารที่สามารถละลายน้ำได้ จึงช่วยในขบวนการทำความสะอาดของร่างกายได้ตามธรรมชาติ นอกจากจะช่วยทำความสะอาดลำไส้แล้ว ยังช่วยการสะสมของสารพิษในลำไส้ได้อีกด้วย 4. ช่วยบำรุงลำไส้ 5. ช่วยในการขับถ่าย ช่วยในการย่อยอาหาร ป้องกันอาการท้องผูก และช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ 6. ช่วยบรรเทาอาการจุกเสียดแน่นท้อง 7. ช่วยขับปัสสาวะ 8. ช่วยบำบัดอาการประจำเดือนผิดปกติของสตรี 9. ช่วยลดอาการบวมน้ำ 10. ช่วยกำจัดหนอง 11. ช่วยลดอาการผื่นคันตามผิวหนัง 12. ถั่วแดงหลวง สรรพคุณช่วยป้องกันและลดอาการเหน็บชา 13. ช่วยบรรเทาอาการปวดบวม หรือปวดตามข้อต่อ 14. ช่วยบำรุงช่องคลอด รักษามดลูก สำหรับสตรีที่มักมีอาการปวดช่วงท้องน้อย ซึ่งอาจเกิดจากการมีเลือดคั่ง หรือมีความเย็นสะสมอยู่รอบๆ สะดือ รังไข่และมดลูก ให้คุณนำถั่วแดงครึ่งกิโล ใส่ลงในถุงผ้าแล้วมัดปากถุงด้วยเชือกปอ แล้วนำไปอบในไมโครเวฟประมาณ 3-4 นาที (ใช้ไฟปานกลาง) แล้วให้นำถุงถั่วแดงมาประคบบริเวณท้องน้อยเพื่อช่วยบรรเทาอาการเลือดคั่ง บรรเทาอาการอักเสบ และลดบวมได้ (แต่ก่อนจะนำมาประคบให้ใช้มือลูกไล้เบาๆ ที่ผิวหนังซึ่งตรงกับรังไข่แล้วค่อยประคบ) 15. ช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์และโคเลสเตอรอล ในเลือด ป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจและช่วย บำรุงระบบประสาท 16. ช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง
สามารถปลูกได้ในทุกภาคของไทย เติบโตได้ดีในช่วงอุณหภูมิ 19-27 ºC ดังนั้น การปลูกในฤดูหนาวจะได้ผลดีกว่าฤดูอื่นๆ ซึ่งทั่วไปมักปลูกหลังการเก็บเกี่ยวข้าว หากปลูกในช่วงหน้าแล้งหรือหน้าฝนที่ฝนตกชุมมักมีผลทำให้ดอกร่วงง่าย ส่วนดินปลูก ถั่วแขกชอบดินร่วนปนทราย
ลำต้น ถั่วแขก เป็นพืชล้มลุกอายุ 2-3 ปี มีทั้งพันธุ์ที่เป็นไม้ยืนต้นเป็นทรงพุ่ม กึ่งเลื้อย และไม้เลื้อย ลำต้นแข็ง แตกกิ่งก้านน้อย โดยพันธุ์ยืนเป็นทรงพุ่มมีลักษณะลำต้นเป็นข้อสั้นๆ 4-8 ข้อ ลำต้นสูงประมาณ 25-30 เซนติเมตร พันธุ์กึ่งเลื้อย มีลำต้นสูงประมาณ 60-120 เซนติเมตร ส่วนพันธุ์เลื้อยมีลำต้นสูงประมาณ 1.8-3 เมตร ส่วนระบบรากประกอบด้วยรากแก้ว และรากแขนงที่หยั่งลึกประมาณ 20-25 เซนติเมตร ใบ ใบถั่วแขกออกเป็นประกอบ แทงออกบริเวณข้อของลำต้น แต่ละใบมีใบย่อย 3 ใบ ลักษณะใบย่อยแตกต่างกันตามสายพันธุ์ โดยทั่วไปมักมีฐานใบกว้าง ปลายใบแหลม แผ่นใบ และขอบใบเรียบ และมีขนปกคลุม แผ่นใบด้านบนมีสีเขียวเข้ม แผ่นใบด้านล่างมีสีเขียวจางๆ ดอก ถั่วแขก ออกดอกเป็นช่อบริเวณซอกใบที่ปลายยอด ประกอบด้วยดอกย่อยที่มีสีหลากหลายตามสายพันธุ์ อาทิ สีเหลือง สีขาว และสีชมพู ดอกย่อยแต่ละดอกมีก้านดอกสั้น ประกอบด้วยกลีบเลี้ยงสีเขียวที่ฐานกลีบเชื่อมติดกันเป็นกรวยล้อมรอบกลีบดอก ถัดมาเป็นกลีบดอก จำนวน 5 กลีบ ดอกจะบานจากดอกโคนสู่ไปสู่ปลายช่อ ทั้งนี้ ดอกถั่วแขกจัดเป็นดอกสมบูรณ์เพศที่ผสมเกสรได้ในดอกตัวเอง ทำให้ติดฝักได้ครบตามจำนวนดอกที่ออก ดอกจะร่วงภายใน 2-3 หลังบาน ฝัก และเมล็ด ฝักถั่วแขก มีลักษณะคล้ายกับฝักถั่วเขียว แต่มีขนาดสั้นกล่าว ฝักมีลักษณะทรงกระบอกกลม และเรียวยาว ผิวฝักเรียบ และอาจโค้งเล็กน้อย ขนาดฝักประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 8-20 เซนติเมตร ฝักอ่อนมีสีเขียว เมื่อแก่จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอ่อน ภายในฝักมีเมล็ดจำนวนมาก เรียงเป็นแถวตามแนวยาวของฝัก เมล็ดมีลักษณะเป็นรูปไต มีหลายสีตามสายพันธุ์ อาทิ สีดำ สีขาว สีเหลืองครีม สีชมพู สีเขียว สีแดงม่วง หรือสีน้ำตาล ใน 1 ฝัก จะมีเมล็ดประมาณ 5-8 เมล็ด ใน 100 เมล็ด จะหนักประมาณ 20-60 กรัม
ลำต้น ถั่วแขก เป็นพืชล้มลุกอายุ 2-3 ปี มีทั้งพันธุ์ที่เป็นไม้ยืนต้นเป็นทรงพุ่ม กึ่งเลื้อย และไม้เลื้อย ลำต้นแข็ง แตกกิ่งก้านน้อย โดยพันธุ์ยืนเป็นทรงพุ่มมีลักษณะลำต้นเป็นข้อสั้นๆ 4-8 ข้อ ลำต้นสูงประมาณ 25-30 เซนติเมตร พันธุ์กึ่งเลื้อย มีลำต้นสูงประมาณ 60-120 เซนติเมตร ส่วนพันธุ์เลื้อยมีลำต้นสูงประมาณ 1.8-3 เมตร ส่วนระบบรากประกอบด้วยรากแก้ว และรากแขนงที่หยั่งลึกประมาณ 20-25 เซนติเมตร ใบ ใบถั่วแขกออกเป็นประกอบ แทงออกบริเวณข้อของลำต้น แต่ละใบมีใบย่อย 3 ใบ ลักษณะใบย่อยแตกต่างกันตามสายพันธุ์ โดยทั่วไปมักมีฐานใบกว้าง ปลายใบแหลม แผ่นใบ และขอบใบเรียบ และมีขนปกคลุม แผ่นใบด้านบนมีสีเขียวเข้ม แผ่นใบด้านล่างมีสีเขียวจางๆ ดอก ถั่วแขก ออกดอกเป็นช่อบริเวณซอกใบที่ปลายยอด ประกอบด้วยดอกย่อยที่มีสีหลากหลายตามสายพันธุ์ อาทิ สีเหลือง สีขาว และสีชมพู ดอกย่อยแต่ละดอกมีก้านดอกสั้น ประกอบด้วยกลีบเลี้ยงสีเขียวที่ฐานกลีบเชื่อมติดกันเป็นกรวยล้อมรอบกลีบดอก ถัดมาเป็นกลีบดอก จำนวน 5 กลีบ ดอกจะบานจากดอกโคนสู่ไปสู่ปลายช่อ ทั้งนี้ ดอกถั่วแขกจัดเป็นดอกสมบูรณ์เพศที่ผสมเกสรได้ในดอกตัวเอง ทำให้ติดฝักได้ครบตามจำนวนดอกที่ออก ดอกจะร่วงภายใน 2-3 หลังบาน ฝัก และเมล็ด ฝักถั่วแขก มีลักษณะคล้ายกับฝักถั่วเขียว แต่มีขนาดสั้นกล่าว ฝักมีลักษณะทรงกระบอกกลม และเรียวยาว ผิวฝักเรียบ และอาจโค้งเล็กน้อย ขนาดฝักประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 8-20 เซนติเมตร ฝักอ่อนมีสีเขียว เมื่อแก่จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอ่อน ภายในฝักมีเมล็ดจำนวนมาก เรียงเป็นแถวตามแนวยาวของฝัก เมล็ดมีลักษณะเป็นรูปไต มีหลายสีตามสายพันธุ์ อาทิ สีดำ สีขาว สีเหลืองครีม สีชมพู สีเขียว สีแดงม่วง หรือสีน้ำตาล ใน 1 ฝัก จะมีเมล็ดประมาณ 5-8 เมล็ด ใน 100 เมล็ด จะหนักประมาณ 20-60 กรัม
ถั่วแขกพุ่มมีธาตุเหล็กสูง ช่วยในการสร้างเม็ดเลือก ช่วยบำรุงร่างกาย ช่วยแก้ดับร้อน ช่วยขับปัสสาวะ ช่วยรักษาอาการบวมน้ำ
ถั่วดำมีคาร์โบไฮเดรตสูง เป็นแหล่งพลังงาน และช่วยบำรุงร่างกาย ถั่วดำมีโปรตีนสูง เป็นแหล่งโปรตีนสำหรับสร้าง และซ่อมแซมกล้ามเนื้อ ถั่วดำมีเยื่อใยสูง ช่วยกระตุ้นการขับถ่าย ถั่วดำช่วยลดไขมัน และคอเลสเตอรอลในร่างกาย ช่วยแก้อาการปวดลำไส้ ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งลำไส้ชนิดต่างๆ ช่วยบำรุงเลือด ที่ได้จากปริมาณธาตุเหล็กที่พบสูงในถั่วดำ ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน กระดูกเสื่อม ซึ่งเป็นผลมาจากปริมาณแคลเซียมที่พบในถั่วดำ ช่วยบำรุงสายตา ช่วยขับสารพิษ ช่วยขับปัสสาวะ ช่วยขับลม ช่วยบำรุงไต ป้องกันไตเสื่อม ช่วยขับเหงื่อ แก้อาการร้อนใน แก้โรคเหน็บชา ซึ่งได้จากไทอะมีนหรือวิตามินบี 1 แก้โรคดีซ่าน ช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อย เพราะมีแร่ธาตุหลายชนิด อาทิ แคลเซียม และโพแทสเชียมที่ช่วยในการทำงานของระบบประสาท กระตุ้นการทำงานของระบบประสาท ที่มีส่วนส่งเสริมมาจากไรโบฟลาวิน และแร่ธาตุต่างๆ ช่วยบำรุงสมอง บำรุงหัวใจ
ราก และลำต้น ถั่วดำ จัดเป็นถั่วพุ่ม มีทรงพุ่มรูปสามเหลี่ยม มีระบบรากแก้ว และรากแขนง และมีปมรากขนาดใหญ่ แตกหยั่งลงดินไม่ลึกนัก ประมาณ 25-35 เซนติเมตร ส่วนลำต้นเป็นลำต้นเดี่ยว ไม่แตกหน่อ แต่แตกกิ่งก้านตั้งแต่โคนต้น ทำให้แลดูเป็นทรงพุ่มเตี้ยๆ ทั้งลำต้น และกิ่งมีลักษณะเป็นเหลี่ยม กิ่งมีขนปกคลุม ผิวเปลือกลำต้นหยาบ แลดูดคล้ายมีเกล็ด ใบ ใบถั่วดำจัดเป็นใบรวมที่รวมอยู่ก้านใบเดียวกัน มีก้านใบหลัก ยาวประมาณ 5-15 เซนติเมตร มีลักษณะเรียว แข็ง และเหนียว ปลายก้านใบประกอบด้วยใบย่อย จำนวน 3 ใบ มี 2 ใบย่อย อยู่ตรงข้ามกัน ถัดมาเป็นใบเดี่ยวที่อยู่ตรงกลางระหว่าง 2 ใบคู่แรก ใบย่อยมีก้านใบสั้น แต่ใบสุดท้ายมีก้านใบยาวประมาณ 3-5 เซนติเมตร บริเวณฐานใบมีหูใบ 2 อัน ใบมีรูปไข่ โคนใบกว้าง ปลายใบแหลม แผ่นใบ และขอบใบเรียบ ไม่มีขนปกคลุม มีเส้นใบสีขาวอมเขียว 3 เส้น เส้นก้านใบตรงกลางใหญ่สุด ใบอ่อนมีสีเขียว และแก่เปลี่ยนเป็นสีเหลือง ดอก ถั่วดำออกดอกเป็นช่อ มีก้านช่อดอกยาว 15-20 เซนติเมตร ตั้งตรงสูงกว่าก้านใบ แต่ละช่อมีดอกประมาณ 2-4 ดอก กลีบดอกมีสีขาวหรือสีขาวอมม่วง ทั้งนี้ ดอกถั่วดำจัดเป็นดอกสมบูรณ์เพศ สามารถผสมแกสรด้วยตัวเองได้ ทั้งนี้ การที่ช่อดอกถั่วดำมีช่อดอกยาว และยื่นขึ้นเหนือใบ และภายในดอกมีต่อมน้ำหวานมาก ทำให้ดอกถั่วดำถูกผสมเกสรด้วยแมลงได้ง่าย ช่วยให้ติดฝักเกือบทุกดอก เพราะสามารถดึงดูดแมลงได้ดีจากการชูช่อสูง และมีน้ำหวานดึงดูด ฝัก และเมล็ด ฝักถั่วดำมีลักษณะคล้ายถั่วฝักยาว แต่ฝักจะสั้นกว่ามาก และฝักมีขนปกคลุม (ถั่วฝักยาวไม่มีขนปกคลุม) ส่วนเมล็ดจะมีลักษณะคล้ายกับเมล็ดถั่วฝักยาวเช่นกัน ฝักถั่วดำ ติดฝักเป็นช่อตามช่อดอก แต่ละช่อมีฝัก 2-4 ฝัก ฝักมีลักษณะเป็นทรงกระบอกยาว เรียวยาว และตรงหรือปลายงอนเล็กน้อย ฝักอ่อนมีสีเขียวสด ฝักแก่มีสีเหลืองน้ำตาล แต่บางพันธุ์เมื่อแก่อาจมีสีม่วงภายในฝักมีเมล็ดคล้ายรูปไตเรียงชิดตลอดความยาวฝัก เปลือกเมล็ดอ่อนมีสีขาว แล้วเปลี่ยนเป็นสีเขียว และเมื่อแก่เต็มที่จะมีสีดำ เปลือกค่อนข้างบาง แต่ติดแน่นกับเนื้อเมล็ด เปลือกด้านหนึ่งจะมีตาสีขาว แต่ละฝักมีเมล็ดประมาณ 8-20 เมล็ด ส่วนเนื้อเมล็ดมีสีเหลืองครีม
โรงเพาะปลูก
ต้นกล้าขนาดเล็ก หรือต้นอ่อนที่เพาะจากเมล็ดของพืช
ต้นกล้าขนาดเล็ก หรือต้นอ่อนที่เพาะจากเมล็ดของพืช
ยอดอ่อน และฝักอ่อนอุดมด้วยสารเบต้าแคโรทีน และคลอโรฟิลล์ ที่มีฤทธิ์ทางยาหลายด้าน อาทิ ช่วยบำรุงสายตา ป้องกันสายตาเสื่อม และโรคทางตาต่างๆ มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยบำรุงผิวพรรณ ลดการทำลายเซลล์จากแสงแดด ช่วยบำรุงเซลล์ ป้องกันเซลล์จากพิษของสารเคมี และช่วยขับสารพิษ มีฤทธิ์ต้านเซลล์มะเร็ง เมล็ดถั่วลันเตา เมล็ดอุดมด้วยกรดอะมิโนหลายชนิด ช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโตได้ดี เป็นแหล่งโปรตีนแทนเนื้อสัตว์
ไมโครกรีน คือต้นกล้าขนาดเล็ก หรือต้นอ่อนที่เพาะจากเมล็ดของพืช ผัก สมุนไพรชนิดต่างๆ และเจริญเติบโตจนมีใบจริง 2-3 ใบ ขนาดความสูงของต้นกล้าขนาดที่รับประทานได้ประมาณ 2-3 นิ้ว และมีคุณค่าทางสารอาหารมากกว่าผักชนิดเดียวกันที่โตเต็มที่แล้ว 5-40 เท่า แล้วแต่ชนิดผัก
ในประเทศไทยสามารถพบได้ทุกภาค
370 กิโลกรัม/ไร่
ลำต้น โสน เป็นพืชปีเดียว สามารถขึ้นเองตามธรรมชาติ ลำต้นมีลักษณะทรงกลมหรือเป็นเหลี่ยม ตั้งตรง และสูงชะลูด มีความสูงได้ถึง 4 เมตร ลำต้นแตกกิ่งค่อนข้างน้อย ทำให้เป็นทรงพุ่มโปร่ง เปลือกลำต้นมีสีเขียวเข้ม และมีปุ่มปมทั่ว (เฉพาะโสนแอฟริกัน) เปลือกลำต้นสามารถลอกออกเป็นเส้นได้ และใช้รัดของแทนเชือก ส่วนเนื้อไม้เป็นไม้เนื้ออ่อน มีลักษณะเปราะหักง่าย สามารถใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตกระดาษได้ ทั้งนี้ หลังจากติดผลจนแก่แล้ว ใบโสน และต้นโสนจะค่อยๆเหี่ยวเหลือง และตายในเวลาไม่นาน ใบ ใบโสน เป็นประกอบแบบขนนก ประกอบด้วยก้านใบหลักที่แตกออกเยื้องสลับตามลำต้น ก้านใบหลักแต่ละใบประกอบด้วยใบย่อยจำนวนมาก ใบย่อยเรียงกันเป็นคู่ๆซ้าย-ขวา จำนวนใบย่อยประมาณ 20-40 คู่/ก้านใบหลัก ใบย่อยมีลักษณะมนรี คล้ายใบมะขาม แต่ยาว และใหญ่กว่าเล็กน้อย มี แผ่นใบ และขอบใบเรียบ สีเขียวสด โคนใบ และปลายใบมน ขนาดใบกว้างประมาณ 0.3-0.5 มิลลิเมตร ยาวประมาณ 5-7 มิลลิเมตร ดอก ดอกโสน ออกดอกเป็นช่อแบบกระจุก ประกอบด้วยก้านช่อดอกหลักที่แทงออกตามซอกใบหรือซอกกิ่งบริเวณปลายกิ่ง ช่อดอกมีความยาวประมาณ 10 เซนติเมตร ประกอบด้วยดอกย่อย 5-12 ดอก/ช่อ ดอกย่อยมีความยาวประมาณ 2.5 เซนติเมตร ประกอบด้วยกลีบดอกสีเหลือง จำนวน 5 กลีบ แบ่งเป็นกลีบนอก และกลีบใน โดยกลีบนอกจะมีขนาดใหญ่กว่ากลีบใน และอาจพบโคนกลีบของกลีบนอกมีจุดประสีน้ำตาลหรือสีม่วงแดง ตรงกลางมีเกสรตัวผู้ 10 อัน ทั้งนี้ โสนจะเริ่มออกดอกได้ประมาณ 40-60 วัน หลังปลูก ผล ผลโสน เรียกเป็น ฝัก ที่มีลักษณะเรียวยาว คล้ายฝักถั่วยาว กว้างประมาณ 4 มิลลิเมตร ยาวประมาณ 15-20 เซนติเมตร ฝักอ่อนมีสีเขียว ฝักแก่มีสีม่วงอมน้ำตาล และจะปริแตกเมื่อแห้งจัด ด้านในฝักมีเมล็ดขนาดเล็ก 10-20 เมล็ด ขนาดเมล็ดประมาณ 0.5 เซนติเมตร แต่ละช่อดอกจะติดฝักประมาณ 3-8 ฝัก
ลำต้น โสน เป็นพืชปีเดียว สามารถขึ้นเองตามธรรมชาติ ลำต้นมีลักษณะทรงกลมหรือเป็นเหลี่ยม ตั้งตรง และสูงชะลูด มีความสูงได้ถึง 4 เมตร ลำต้นแตกกิ่งค่อนข้างน้อย ทำให้เป็นทรงพุ่มโปร่ง เปลือกลำต้นมีสีเขียวเข้ม และมีปุ่มปมทั่ว (เฉพาะโสนแอฟริกัน) เปลือกลำต้นสามารถลอกออกเป็นเส้นได้ และใช้รัดของแทนเชือก ส่วนเนื้อไม้เป็นไม้เนื้ออ่อน มีลักษณะเปราะหักง่าย สามารถใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตกระดาษได้ ทั้งนี้ หลังจากติดผลจนแก่แล้ว ใบโสน และต้นโสนจะค่อยๆเหี่ยวเหลือง และตายในเวลาไม่นาน ใบ ใบโสน เป็นประกอบแบบขนนก ประกอบด้วยก้านใบหลักที่แตกออกเยื้องสลับตามลำต้น ก้านใบหลักแต่ละใบประกอบด้วยใบย่อยจำนวนมาก ใบย่อยเรียงกันเป็นคู่ๆซ้าย-ขวา จำนวนใบย่อยประมาณ 20-40 คู่/ก้านใบหลัก ใบย่อยมีลักษณะมนรี คล้ายใบมะขาม แต่ยาว และใหญ่กว่าเล็กน้อย มี แผ่นใบ และขอบใบเรียบ สีเขียวสด โคนใบ และปลายใบมน ขนาดใบกว้างประมาณ 0.3-0.5 มิลลิเมตร ยาวประมาณ 5-7 มิลลิเมตร ดอก ดอกโสน ออกดอกเป็นช่อแบบกระจุก ประกอบด้วยก้านช่อดอกหลักที่แทงออกตามซอกใบหรือซอกกิ่งบริเวณปลายกิ่ง ช่อดอกมีความยาวประมาณ 10 เซนติเมตร ประกอบด้วยดอกย่อย 5-12 ดอก/ช่อ ดอกย่อยมีความยาวประมาณ 2.5 เซนติเมตร ประกอบด้วยกลีบดอกสีเหลือง จำนวน 5 กลีบ แบ่งเป็นกลีบนอก และกลีบใน โดยกลีบนอกจะมีขนาดใหญ่กว่ากลีบใน และอาจพบโคนกลีบของกลีบนอกมีจุดประสีน้ำตาลหรือสีม่วงแดง ตรงกลางมีเกสรตัวผู้ 10 อัน ทั้งนี้ โสนจะเริ่มออกดอกได้ประมาณ 40-60 วัน หลังปลูก ผล ผลโสน เรียกเป็น ฝัก ที่มีลักษณะเรียวยาว คล้ายฝักถั่วยาว กว้างประมาณ 4 มิลลิเมตร ยาวประมาณ 15-20 เซนติเมตร ฝักอ่อนมีสีเขียว ฝักแก่มีสีม่วงอมน้ำตาล และจะปริแตกเมื่อแห้งจัด ด้านในฝักมีเมล็ดขนาดเล็ก 10-20 เมล็ด ขนาดเมล็ดประมาณ 0.5 เซนติเมตร แต่ละช่อดอกจะติดฝักประมาณ 3-8 ฝัก
ดอก - ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง - ช่วยเจริญอาหาร - ช่วยบำรุงสายตา - ช่วยให้ผิวพรรณแลดูเปล่งปลั่ง - ช่วยบำรุงผิวให้สดชื่น ไม่หยาบกร้าน - ลดอาการลำคออักเสบ - ช่วยขับเสมหะ - แก้พิษร้อนใน - แก้อาการปวดท้อง - ดอกนำมาบด ก่อนใช้พอกทารักษาแผลจากแมลงกัดต่อย - ดอกนำมาบด ใช้ทารักษาแผลสด ลำต้น - ลำต้นโสนใช้เผาไฟให้เหลืองเกรียม นำมาสับเป็นชิ้นๆ ก่อนใช้ต้มน้ำดื่ม มีสรรพคุณเป็นยาขับปัสสาวะ - ช่วยขับปัสสาวะ ลดอาการปัสสาวะเล็ด เมล็ด - ช่วยขับพยาธิ - ช่วยทำให้อาเจียน - ช่วยขับปัสสาวะ
พื้นที่ปลูกโสนจะต้องเป็นพื้นที่ลุ่ม ดินมีความชื้นสูง อาทิ แปลงนาลุ่ม ขอบบ่อ ขอบแม่น้ำ และพื้นที่รกร้างที่น้ำท่วมขังบางครั้งคราว เป็นต้น แต่ก็ปลูกได้ในพื้นที่ที่มีความชื้นน้อยได้เช่นกัน อาทิ แปลงนาในที่ดอน คันนา คันบ่อ เป็นต้น ทั้งนี้ จะต้องเตรียมแปลงด้วยการไถกลบ และกำจัดวัชพืชออกก่อน และตากดินนาน 10-20 วัน เพื่อให้วัชพืชเน่า หลังจากนั้น จึงหว่านเมล็ดลงแปลง ทั้งนี้ ควรเตรียมพื้นที่ปลูกให้เสร็จก่อนต้นฤดูฝน
เป็นไผ่ที่มีการแตกกอน้อย และมีลำต้นขนาดใหญ่
เป็นไผ่ขนาดกลาง มีเหง้าใต้ดิน ลำต้นเหนือดินขึ้นเป็นกอแต่ไม่แน่นมาก โคนของลำต้นแตกกิ่ง กิ่งตรงกลางใหญ่กว่ากิ่งอื่นและตั้งฉากกับลำต้น กิ่งอ่อนสีเขียวนวล กิ่งแก่สีเขียวอมเหลือง ลำต้นสูง 10–25 เมตร ลำต้นตรง เส้นผ่าศูนย์กลาง 5-12 ซม. ปล้องยาว 20-45 ซม. เนื้อลำต้นหนา 0.7-1.5 ซม.
เป็นไผ่ขนาดกลาง มีเหง้าใต้ดิน ลำต้นเหนือดินขึ้นเป็นกอแต่ไม่แน่นมาก โคนของลำต้นแตกกิ่ง กิ่งตรงกลางใหญ่กว่ากิ่งอื่นและตั้งฉากกับลำต้น กิ่งอ่อนสีเขียวนวล กิ่งแก่สีเขียวอมเหลือง ลำต้นสูง 10–25 เมตร ลำต้นตรง เส้นผ่าศูนย์กลาง 5-12 ซม. ปล้องยาว 20-45 ซม. เนื้อลำต้นหนา 0.7-1.5 ซม.
1.น้ำเก๊กฮวยใช้ดื่มแก้กระหาย เพิ่มความสดชื่น 2.ช่วยกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย 3.ช่วยขับเหงื่อ 4.จากงานวิจัยพบว่าสารสกัดจากดอกเก๊กฮวยมีคุณสมบัติช่วยยับยั้งเชื้อไวรัสเอดส์ได้ 5.ช่วยดูดซับสารก่อมะเร็งและจุลินทรีย์ชนิดต่าง ๆ 6.ช่วยขยายหลอดเลือดแดงใหญ่ที่ไปเลี้ยงหัวใจ ช่วยป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดต่าง ๆ 7.ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจ ภาวะหัวใจล้มเหลว 8.ช่วยป้องกันการเกิดโรคความดันโลหิตสูง 9.ช่วยป้องกันการเกิดโรคเส้นเลือดตีบ 10.ช่วยบำรุงโลหิต
ปลูกได้เฉพาะหน้าฝนในเดือนสิงหาคม ยาวมาถึงหน้าหนาวนี้เท่านั้น ก็จะหมด ปลูกได้ปีครั้งเดียวเท่านั้น
1,500 กิโลกรัมต่อไร่
เป็นไม้ดอกตระกูลเดียวกับทานตะวัน ปลูกมากทางภาคเหนือ เป็นไม้ล้มลุกลำต้นตรง ลักษณะใบเป็นรูปใข่ ปลายใบแหลม ขอบเว้า ออกดอกเป็นกระจุก ดอกสีเหลืองขนาดเล็ก ดอกเก็กฮวยจะเก็บเมื่อดอกบาน นำมาตากแห้งเก็บไว้ได้นาน ต้มกับน้ำจะมีสีเหลืองอ่อน
เป็นไม้ดอกตระกูลเดียวกับทานตะวัน ปลูกมากทางภาคเหนือ เป็นไม้ล้มลุกลำต้นตรง ลักษณะใบเป็นรูปใข่ ปลายใบแหลม ขอบเว้า ออกดอกเป็นกระจุก ดอกสีเหลืองขนาดเล็ก ดอกเก็กฮวยจะเก็บเมื่อดอกบาน นำมาตากแห้งเก็บไว้ได้นาน ต้มกับน้ำจะมีสีเหลืองอ่อน
1.ช่วยดับกระหาย เพิ่มความสดชื่น 2.ช่วยกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย 3.เก๊กฮวย มีสรรพคุณทางยาซึ่งช่วยขับเหงื่อ 4.จากงานวิจัยพบว่าสารสกัดจากดอกเก๊กฮวยมีคุณสมบัติช่วยยับยั้งเชื้อไวรัสเอดส์ได้ 5.ช่วยดูดซับสารก่อมะเร็งและจุลินทรีย์ชนิดต่างๆ 6.ช่วยขยายหลอดเลือดแดงใหญ่ที่ไปเลี้ยงหัวใจ 7.ช่วยป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดต่างๆ 8.ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจ ภาวะหัวใจล้มเหลว 9.ช่วยป้องกันการเกิดโรคความดันโลหิตสูง 10.ช่วยป้องกันการเกิดโรคเส้นเลือดตีบ 11.ประโยชน์ของเก๊กฮวย ช่วยบำรุงโลหิต 12.ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต 13.ช่วยบำรุงและรักษาสายตา (เก๊กฮวยดอกเหลือง) 14.ช่วยแก้อาการตาบวมแดง ปวดตา มองเห็นไม่ชัด ตาเบลอ ตามัว 15.แก้อาการตาอักเสบ ด้วยการใช้ดอกสดตำแล้วนำมาประคบภายนอกดวงตา 16.ช่วยแก้อาการปวดศีรษะเนื่องจากการกำเริบของหยางในตับ 17.ช่วยบรรเทาอาการวิงเวียนศีรษะ หน้ามืด ตาลาย (เก๊กฮวยดอกเหลือง) 18.สรรพคุณเก๊กฮวย ช่วยแก้ไข้ (เก๊กฮวยดอกเหลือง) 19.เก๊กฮวย สรรพคุณช่วยแก้อาการหวัด 20.เก๊กฮวยดอกขาวหากใช้ร่วมกับ สะระแหน่ ใบไผ่ขม จะช่วยแก้อาการไอได้ 21.เก๊กฮวยแก้ร้อนใน มีฤทธิ์เป็นยาเย็น ช่วยดับพิษร้อน 22.ช่วยระบายและย่อยอาหาร เพราะมีสรรพคุณช่วยขับลม 23.เก๊กฮวยดอกขาวหากใช้ร่วมกับ สะระแหน่ ใบไผ่ขม จะช่วยบำรุงปอด 24.ประโยชน์เก๊กฮวยช่วยบำรุงตับ ไต (เก๊กฮวยดอกเหลือง) 25.ใช้รักษาฝีเป็นหนอง บวมและเป็นพิษ ด้วยการใช้ดอกสดนำมาบดผสมน้ำแล้วดื่ม และนำกากที่เหลือมาพอกบริเวณที่เป็น 26.เก๊กฮวย ประโยชน์ช่วยรักษาผมร่วง ทำให้ผมไม่เปลี่ยนเป็นสีเทา
เป็นพืชดั้งเดิมของประเทศจีนและญี่ปุ่น แต่ภายหลังได้แพร่กระจายไปทั่วในประเทศกัมพูชา ลาว รวมถึงบ้านเราด้วย ซึ่งจะเพาะปลูกได้ดีในพื้นที่สูงของประเทศ โดยมีการจำหน่ายเป็นดอกสด สำหรับดอกเก๊กฮวยที่นำมาใช้ควรเป็นดอกสีขาวหรือดอกสีเหลือง และไม่ใช่สายพันธุ์ที่เก็บมาจากในป่าเพราะอาจเป็นคนละชนิดกัน
มี 3 สายพันธุ์ ได้แก่ 1.เก๊กฮวยสีขาว 2.เก๊กฮวยสีเหลือง 3.เก๊กฮวยป่า
สวนหม่อนวิถีธรรมชาติ@โป่งแยง Natural Mulberry Farm (จำหน่ายต้นกล้า ผลสดและผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมัลเบอร์รี่มากมาย) สามารถติดต่อได้ที่ 061-4144142 นายนัท หรือ Facebook/NaturalMulberryFarm ได้ตลอดเวลาทำการ
เป็นผักที่ชอบอากาศเย็น และจะเจริญเติบโตเต็มที่ในช่วงหน้าหนาวช่วงที่มีอากาศเย็น ผักสลัดคอสจะมีต้นโตใบงาม นิยมปลูกสลัดคอสด้วยระบบไฮโดรโปนิกส์ (ปลูกผักแบบไร้ดิน)
ผักใบหนา สีเขียวเข้ม ก้านใบกรอบ ห่อเป็นนชั้นๆ ห่อตั้งขึ้น มีทั้งใบสีเขียวและใบสีแดง นิยมใช้เป็นผักสลัด
ผักใบหนา สีเขียวเข้ม ก้านใบกรอบ ห่อเป็นนชั้นๆ ห่อตั้งขึ้น มีทั้งใบสีเขียวและใบสีแดง นิยมใช้เป็นผักสลัด
ป้องกันโรคเบาหวาน แก้ไอ แก้ไข้ ขับเสมหะ แก้ปวด แก้ปวดเอว แก้กระหายน้ำ บำรุงร่างกาย สายตาและตับ ป้องกันโรคโลหิตจาง ป้องกันโรคมะเร็ง รักษาอาการเจ็บคอ รักษาริดสีดวงทวาร ช่วยระบบขับถ่าย เป็นยาระบาย แก้ท้องผูก แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ลดความดันโลหิตสูง ขับลม ขับปัสสาวะ ขับพยาธิ ขับเหงื่อ ขับน้ำนม
หลังจากต้นอ่อนงอกแล้วประมาณ 20 วัน ให้ย้ายกล้ามาลงปลูกในกระถางหรือภาชนะที่เตรียมไว้ ในกระถางควรที่จะมีการปรุงดินและควรนำปุ๋ยรองก้นหลุมแล้วค่อยใส่ดิน รดน้ำให้ดินชุ่มใช้นิ้วจิ้มดินให้เป็นรู แล้วเอากล้าผักลงปลูกกดบริเวณรอบ ๆ โคนเบาๆ เพื่อให้ผักติดแน่น ควรที่จะมั่นรดน้ำทุกเช้าเย็นอย่างสม่ำเสมอ อย่าให้ขาดน้ำเพราะว่าผักสลัดคอสอาจจะชะงักการเจิรญเติบโตได้และควรที่จะใส่ปุ๋ยหมักหรือน้ำหมักชีวภาพสูตรบำรุงดินและเร่งใบทุก ๆ 7 วัน ควรมั่นที่จะฉีดพ่นด้วยน้ำหมักที่มีคุณสมบัติในการขับไล่แมลงหรือไม่ก็หาผักที่มีฤทธิ์ในการไล่แมลงมาปลูกใกล้ ๆ การเก็บผลผลิตของผักสลัดคอสนั้นควรเก็บตอนที่ผักสลัดคอสนั้นปลูกมาได้ประมาณ 55 วัน ก็สามารถเริ่มเก็บเกี่ยวได้
แรดิชเป็นพืชที่มีอายุการเก็บเกี่ยวสั้น เนื่องจากเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ดังนั้นดินที่ใช้ปลูกควรร่วนปนทราย มีอินทรีย์วัตถุสูง หน้าดินควรลึก ระบายน้ำและอากาศดี และควรมีค่าความเป็นกรด – ด่างอยู่ระหว่าง 6.0 – 6.8 ควรย่อยดินให้ละเอียด และไม่มีเศษหินหรือดินที่เป็นก้อนแข็งหรือปุ๋ยคอกที่ยังไม่สลายตัว เนื่องจากจะทำให้ผลผลิตและคุณภาพต่ำ อุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการปลูกอยู่ระหว่าง 15 – 21 องศาเซลเซียส เพื่อการเจริญเติบโตและการลงหัว หากอุณหภูมิต่ำประมาณ 2 – 7 องศาเซลเซียส เป็นระยะเวลา 4 วัน จะทำให้ออกดอกโดยไม่มีการลงหัว หากอุณหภูมิสูงเกินไปจะมีการเจริญเติบโตทางใบมากและการลงหัวมีขนาดเล็ก เนื้อฟ่าม แข็ง กลิ่นฉุน แรดิชต้องการความชื้นในดินสูงและสม่ำเสมอตลอดฤดูกาลปลูก แต่ต้องไม่แฉะ และควรได้รับแสงตลอดวันเพื่อการเจริญเติบโต และการลงหัว ดังนั้นการเลือกที่ปลูกควรโล่งแจ้ง ไม่มีร่มหรือเงามาบัง
พืชฤดูเดียว อายุสั้น ทรงพุ่มใบเล็ก มีรากสะสมอาหารอยู่ใต้ดิน ลักษณะกลมหรือกรูปไข่ ผิวสีแดง เนื้อในสีขาว มีกลิ่นฉุนเล็กน้อย ใช้ส่วนรากที่เป็นหัวอยู่ใต้ดิน มีสีแดงด้านบน ส่วนปลายด้านล่างจะมีสีขาวลักษณะรูปทรงคล้ายหัวไชเท้า แต่รูปทรงสั้นกว่าเพียงเล็กน้อย มีผลผลิตมากช่วงเดือนธันวาคม - มีนาคม
พืชฤดูเดียว อายุสั้น ทรงพุ่มใบเล็ก มีรากสะสมอาหารอยู่ใต้ดิน ลักษณะกลมหรือกรูปไข่ ผิวสีแดง เนื้อในสีขาว มีกลิ่นฉุนเล็กน้อย ใช้ส่วนรากที่เป็นหัวอยู่ใต้ดิน มีสีแดงด้านบน ส่วนปลายด้านล่างจะมีสีขาวลักษณะรูปทรงคล้ายหัวไชเท้า แต่รูปทรงสั้นกว่าเพียงเล็กน้อย มีผลผลิตมากช่วงเดือนธันวาคม - มีนาคม
การปลูกและการปฏิบัติดูแลรักษาระยะต่างๆของการเจริญเติบโต : [หนังสือเรื่องการปลูกผักบนพื้นที่สูง]
การเตรียมกล้า โดยการหยอดเมล็ด ข้อควรระวังอย่าหยอดเมล็ดให้ลึกเกินไปและควรหยอดด้วยความระมัดระวัง
การเตรียมดิน โรยปูนขาวละเอียด อัตรา 0 – 100 กรัม/ตร.ม. แล้วขุดดินตากไว้ ประมาณ 14 วัน ดินควรมีความอุดมสมบูรณ์อย่างดี
การปลูก เมื่อขุดดินตากแดดทิ้งไว้อย่างน้อย 14 วัน แล้วควรเก็บหญ้าออกทิ้ง ขึ้นแปลงกว้าง 1 เมตร ย่อยดินให้ละเอียด ใส่ปุ๋ย 12 – 24 – 12 อัตรา 30 กรัม/ตร.ม. ใส่ปุ๋ยคอก อัตรา 1 กก./ตร.ม.และโบแรกซ์ อัตรา 1 กรัม/ตร.ม. คลุกดินให้เข้ากัน กรีดร่องขวางแปลงห่างกัน 15 ซม.หยอดเมล็ด ในร่องระยะ 3 – 5 ซม.กลบดินรดน้ำให้ชุ่ม
การให้น้ำ ควรให้น้ำสม่ำเสมอ โดยการใช้มินิสปริงเกอร์
การให้ปุ๋ย ถอนต้นแยกเมื่อมีอายุได้ 10 – 15 วัน ละลายปุ๋ย 8 – 24 – 24 รดและกำจัดวัชพืช
ข้อควรระวัง
ควรให้น้ำสม่ำเสมอ ถ้าหากขาดความชื้นจะทำให้หัวฟ่าม แตก หรือหัวบิดเบี้ยว และสูญเสียผลผลิต
ควรทำการถอนแยกต้นที่ชิดเกินไป เพราะจะทำให้หัวลีบ
ควรปลูกในดินที่มีทราย หากปลูกในดินเหนียวหัวจะโตยาก
ควรมีการคลุกเชื้อราไตรโครเดอร์มา ในแปลงปลูกป้องกันโรคโคนเน่า
สภาพอากาศที่เหมาะสม ผักกาดหอมกรีนโอ๊ค เป็นพืชที่ต้องการสภาพอากาศเย็น โดยอุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตอยู่ระหว่าง 10 - 24′C การปลูกในสภาพภูมิอากาศสูง การเจริญเติบโตทางใบจะลดลง และพืชสร้างสารคล้ายน้ำนม หรือยางมาก เส้นใยสูงเหนียว และมีรสขม
ดินที่เหมาะสมต่อการปลูก ควรร่วนซุย มีความอุดมสมบูรณ์ และมีอินทรีย์วัตถุสูง หน้าดินลึก และอุ้มน้ำได้ดีปานกลาง สภาพความเป็น กรด-ด่าง ของดินอยู่ระหว่าง 6-6.5 พื้นที่ปลูกควรโล่ง และได้รับแสงแดดอย่างเต็มที่ เนื่องจากใบผักกาดหอมมีลักษณะบาง ไม่ทน ต่อฝน ดังนั้นในช่วงฤดูฝนควรปลูกใต้โรงเรือน
กรีนโอ๊คมีน้ำเป็นองค์ประกอบหลัก และมีวิตามินบี วิตามินซีสูง อีกทั้งยังมีไฟเบอร์ ที่ช่วยบรรเทาอาการท้องผูก มีสารต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันโรคเบาหวาน แก้หวัด แก้ไอ แก้ไข้ ขับเสมหะ แก้ปวด แก้ปวดเอว แก้กระหายน้ำ บำรุงร่างกาย สายตา เส้นผม ประสาท กล้ามเนื้อ ผิวพรรณและตับ ป้องกันโรคมะเร็ง ป้องกันโรคโลหิตจาง รักษาอาการเจ็บคอ รักษาริดสีดวงทวาร รักษาปากนกกระจอก ช่วยล้างลำไส้ ช่วยสร้างเม็ดเลือด ช่วยระบบขับถ่าย เป็นยาระบาย แก้ท้องผูก แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ลดความดันโลหิตสูง ขับปัสสาวะ ขับพยาธิ ขับลม ขับเหงื่อ ขับน้ำนม
ผักกวางตุ้งเป็นพืชที่สามารถ เจริญเติบโตได้ในดินทุกชนิด ชอบดินร่วนซุย ดินร่วนปนทรายจะเจริญเติบโตได้ดี มีวิธีการปลูกโดยใช้เมล็ดพันธุ์ แบบหว่านแมล็ดโดยตรง หรือแบบโรยเมล็ดเป็นแถว ลงในแปลงปลูกที่เตรียมไว้ หลังจากต้นกล้างอกได้ประมาณ 20 วัน ควรทำการถอน และจัดให้มีระยะระหว่างต้น ประมาณ 20×20 เซนติเมตร
ผักกวางตุ้ง เป็นพืชล้มลุกขนาดเล็ก อยู่ในตระกูลกะหล่ำและผักกาด มีก้านใบยาว ออกเรียงสลับโดยรอบๆ ปกคลุมที่ฐานลำต้น มีก้านใบหนาและยาวอวบน้ำ มีสีเขียวอ่อน หรือสีขาวตามสายพันธุ์ ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ มีลักษณะทรงกลมรี ใบกว้างใหญ่ ผิวใบบางเรียบ ใบมีสีเขียว ดอกออกเป็นช่อ ก้านช่อดอกใหญ่ยาว มีแขนงก้านย่อยมาก มีดอกย่อยออกที่ปลายยอด ดอกมีลักษณะเล็กๆ กลีบดอกมีสีเหลืองสด
ผักกวางตุ้ง เป็นพืชล้มลุกขนาดเล็ก อยู่ในตระกูลกะหล่ำและผักกาด มีก้านใบยาว ออกเรียงสลับโดยรอบๆ ปกคลุมที่ฐานลำต้น มีก้านใบหนาและยาวอวบน้ำ มีสีเขียวอ่อน หรือสีขาวตามสายพันธุ์ ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ มีลักษณะทรงกลมรี ใบกว้างใหญ่ ผิวใบบางเรียบ ใบมีสีเขียว ดอกออกเป็นช่อ ก้านช่อดอกใหญ่ยาว มีแขนงก้านย่อยมาก มีดอกย่อยออกที่ปลายยอด ดอกมีลักษณะเล็กๆ กลีบดอกมีสีเหลืองสด
ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง ช่วยป้องกันโรคกล้ามเนื้อเสื่อม ช่วยรักษาอาการปวดตามข้อ ช่วยป้องกันโรคเลือดหัวใจตีบ ช่วยระบบขับถ่าย แก้ท้องผูก ช่วยบำรุงกระดูก ช่วยบำรุงฟัน ช่วยบำรุงเลือด ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยบำรุงสายตา ช่วยบำรุงผิวพรรณ ช่วยรักษาอาการตะคริว
ผักกวางตุ้งแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ สายพันธุ์สีขาว และสายพันธุ์สีเขียว ได้แก่ ผักกาดเขียวกวางตุ้ง ผักกวางตุ้งใต้หวัน ผักกวางตุ้งฮ่องเต้ ผักกาดฮ่องเต้
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือตอนบน พื้นดินเป็นดินปนทรายและดินมีความเค็มเล็กน้อยบวกกับสภาพภูมิอากาศที่แห้งแล้งสลับชื้นลักษณะดังกล่าวทำให้ข้าวหอมมะลิ105 มีคุณภาพดี ยิ่งในฤดูกาลใดหากช่วงเก็บเกี่ยวพื้นนาแห้งสนิทไม่มีน้ำขังผสมกับอากาศที่หนาวเย็นจะทำให้ข้าวมีความหอมมากยิ่งขึ้น เมื่อนำข้าวหอมมะลิมาทำการหุงจะมีความนุ่มพอดีมี กลิ่นหอม เมื่อข้าวเย็นตัวลงข้าวจะไม่แข็งตัว ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของข้าวขาวดอกมะลิ105
ประมาณ 363 กิโลกรัมต่อไร่
- เป็นข้าวเจ้า สูงประมาณ 140 เซนติเมตร
- ไวต่อช่วงแสง
- ลำต้นสีเขียวจาง ใบสีเขียวยาวค่อนข้างแคบ ฟางอ่อน ใบธงทำมุมกับคอรวง เมล็ดข้าวรูปร่างเรียวยาว
- ข้าวเปลือกสีฟาง
- อายุเก็บเกี่ยว ประมาณ ประมาณปลายพฤศจิกายน ? ต้นเดือนธันวาคม
- เมล็ดข้าวเปลือก ยาว x กว้าง x หนา = 10.6 x 2.5 x 1.9 มิลลิเมตร
- เมล็ดข้าวกล้อง ยาว x กว้าง x หนา = 7.5 x 2.1 x 1..8 มิลลิเมตร
- ปริมาณอมิโลส 12-17 %
- คุณภาพข้าวสุก นุ่ม มีกลิ่นหอม
- เป็นข้าวเจ้า สูงประมาณ 140 เซนติเมตร
- ไวต่อช่วงแสง
- ลำต้นสีเขียวจาง ใบสีเขียวยาวค่อนข้างแคบ ฟางอ่อน ใบธงทำมุมกับคอรวง เมล็ดข้าวรูปร่างเรียวยาว
- ข้าวเปลือกสีฟาง
- อายุเก็บเกี่ยว ประมาณ ประมาณปลายพฤศจิกายน ? ต้นเดือนธันวาคม
- เมล็ดข้าวเปลือก ยาว x กว้าง x หนา = 10.6 x 2.5 x 1.9 มิลลิเมตร
- เมล็ดข้าวกล้อง ยาว x กว้าง x หนา = 7.5 x 2.1 x 1..8 มิลลิเมตร
- ปริมาณอมิโลส 12-17 %
- คุณภาพข้าวสุก นุ่ม มีกลิ่นหอม
ลักษณะเด่น
- ทนแล้งได้ดีพอสมควร
- เมล็ดข้าวสารใส แกร่ง คุณภาพการสีดี
- คุณภาพการหุงต้มดี อ่อนนุ่ม มีกลิ่นหอม
- ทนต่อสภาพดินเปรี้ยว และดินเค็ม
ความหอมของข้าวหอมมะลิ เกิดจากสารระเหยชื่อ 2-acetyl-1-pyroline ซึ่งเป็นสารที่ระเหยหายไปได้ การรักษาความหอมของข้าวหอมมะลิให้คงอยู่นานนั้นจึงควรเก็บข้าวไว้ในที่เย็น อุณหภูมิประมาณ 15 องศาเซลเซียส เก็บข้าวเปลือกที่มีความชื้นต่ำ 14-15% ลดความชื้นข้าวเปลือกที่อุณหภูมิไม่สูงเกินไป นักการเกษตรกรบางท่านกล่าวว่า การใช้ปุ๋ยโปตัสเซียมในการปลูก มีแนวโน้มช่วยให้ข้าวมีกลิ่นหอมมากขึ้น (ยังไม่มีข้อมูลยืนยัน)
คณะกรรมการการพิจารณาพันธุ์ ให้ใช้ขยายพันธุ์เป็นพันธุ์รับรอง เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2502
ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ดและวิธีการปักชำ เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วน ระบายน้ำดี เป็นผักพื้นบ้านที่ชาวเหนือในแถบจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน และพะเยา
จัดเป็นไม้เถาเลื้อย มีอายุข้ามปี ความยาวของเถาขึ้นอยู่กับอายุ ลำต้นเป็นสีเขียว มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.5-5 เซนติเมตร ทุกส่วนที่อยู่เหนือดินของต้นจะมีน้ำยางสีขาวคล้ายน้ำนม ใบเป็นใบเดี่ยว ออกจากข้อเรียงเป็นคู่ตรงข้ามกัน ลักษณะของใบเป็นรูปรีหรือรูปกลมรี ปลายใบแหลม โคนใบแหลม ส่วนขอบใบเรียบหรือเป็นคลื่นเล็กน้อย ใบมีขนาดกว้างประมาณ 9-11 เซนติเมตร และยาวประมาณ 14.5-18.5 เซนติเมตร แผ่นใบเป็นสีเขียวเข้ม ท้องใบมีสีอ่อนกว่า ผิวใบเรียบไม่มีขน ก้านใบยาวประมาณ 3.5-6 เซนติเมตร ออกดอกเป็นช่อแน่นสีขาวอมเขียวอ่อน ดอกย่อยมีขนาดเล็กกลม เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 5-6 มิลลิเมตร
จัดเป็นไม้เถาเลื้อย มีอายุข้ามปี ความยาวของเถาขึ้นอยู่กับอายุ ลำต้นเป็นสีเขียว มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.5-5 เซนติเมตร ทุกส่วนที่อยู่เหนือดินของต้นจะมีน้ำยางสีขาวคล้ายน้ำนม ใบเป็นใบเดี่ยว ออกจากข้อเรียงเป็นคู่ตรงข้ามกัน ลักษณะของใบเป็นรูปรีหรือรูปกลมรี ปลายใบแหลม โคนใบแหลม ส่วนขอบใบเรียบหรือเป็นคลื่นเล็กน้อย ใบมีขนาดกว้างประมาณ 9-11 เซนติเมตร และยาวประมาณ 14.5-18.5 เซนติเมตร แผ่นใบเป็นสีเขียวเข้ม ท้องใบมีสีอ่อนกว่า ผิวใบเรียบไม่มีขน ก้านใบยาวประมาณ 3.5-6 เซนติเมตร ออกดอกเป็นช่อแน่นสีขาวอมเขียวอ่อน ดอกย่อยมีขนาดเล็กกลม เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 5-6 มิลลิเมตร
มีสารต้านอนุมูลอิสระที่เป็นต้นเหตุทำให้เกิดโรคเส้นเลือดหัวใจอุดตัน โรคมะเร็งในกระเพาะอาหาร มะเร็งตับ โรคต้อกระจกในผู้สูงอายุ ช่วยป้องกันการแตกของเม็ดเลือดแดง และการเสียของ DNA ข้ออักเสบรูมาตอยด์และเกาต์
มีสารออกฤทธิ์ที่ช่วยควบคุมการทำงานของร่างกายให้เป็นปกติ
ช่วยทำให้เจริญอาหาร
ช่วยชำระล้างสารพิษตกค้างในร่างกาย
ใช้รักษาเบาหวาน ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ปรับระดับอินซูลินในร่างกายให้สมดุล ช่วยสร้างเนื้อเยื่อใหม่ให้ตับอ่อน ด้วยการนำผักเชียงดามาปรุงเป็นอาหารรับประทาน จากการศึกษาพบว่า การรับประทานผงผักเชียงดาก่อนอาหารประมาณวันละ 8-12 กรัม (แบ่งการรับประทานเป็น 3 มื้อ มื้อละ 4 กรัม) จะสามารถควบคุมระดับน้ำตาลของผู้ป่วยเบาหวานให้เป็นปกติได้ หรือจะรับประทานเป็นผักสดอย่างน้อยวันละประมาณ 50-100 กรัม หรือ 1 ขีด ก็สามารถช่วยป้องกันและบำบัดโรคเบาหวานได้เช่นกัน
ช่วยควบคุมและปรับระดับความดันโลหิตให้เป็นปกติ
ช่วยลดและควบคุมปริมาณไขมันในร่างกายให้สมดุล
ผักเชียงดามีสรรพคุณช่วยบำรุงสายตา แก้ตาฝ้าฟาง มีอาการเคืองตา เนื่องจากผักชนิดนี้มีวิตามินสูง
ช่วยบรรเทาอาการภูมิแพ้และหอบหืด